แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 88
1
บริการด้านอาหาร: ผัดผักบุ้งไฟแดง เมนูอาหารยอดฮิต บำรุงสายตา

 ในเรื่องของการรับประทานอาหาร ถือว่าเป้นเรื่องที่สำคัญที่เราทุกคนจะต้องใส่ใจและเลือกรับประทานอาหารที่มปีระโยชน์ เพื่อให้เราได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่โดยทั่วไปแล้ว  การรับประทานอาหารที่ดีนั้น เราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  นอกจากนี้ การรับประทานพืชผักและผลไม้ที่ให้สารอาหารที่สำคัญหลายชนิดก็เป็นสิ่งที่จำเป็น หรือเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ที่ช่วยดำรงส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ สามารถรับประทานได้ในคนปกติ รวมทั้งคนป่วย เพราะอาจลดความเสี่ยงในโรคที่อาจจะเกิดร่วมขึ้นหรือป้องกันโรคแทรกซ้อนที่จะตามมาหรือทำให้สุขภาพดีขึ้น

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ถือว่าเป็นเทรนยอดฮิตที่ได้รับความนิยมมาก เพราะคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนวัยทำงาน เริ่มหันมาดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้น ซึ่งบางคนอาจจะไม่มีเวลาออกกำลังกาย ก็จะหันมาใช้วิธีการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพแทน นอกจากนี้ ในวัยทำงาน จำเป็นจะต้องใช้สายตาหนักมากในแต่ละวัน บางคนอยู่หน้าคอมวันละ 8 ชั่วโมง ซึ่งอาจจะทำให้สายตามีความล้าได้ ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา จึงเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสำคัญ ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำเมนูยอดฮิตที่เชื่อว่า หลายคนชื่นชอบแถมยังช่วยบำรุงสายตาของเราอีกด้วย นั่นก็คือ ผัดผักบุ้งไฟแดง ซึ่งเป้นเมนูที่เมื่อไหร่ที่ได้ไปรับประทานข้าวต้ม ก็จะขาดไม่ได้เลยทีเดียว

 ซึ่งวัตถุดิบในเมนูนี้ถือว่า หาได้ไม่ยากและยังมีวิธีการทำที่ง่ายมาก โดยวัตถุดิบได้แก่ ผักบุ้งจีนเด็ดเฉพาะส่วนที่อ่อน พริกขี้หนูกับกระเทียมโขลก เต้าเจี้ยว น้ำตาลทราย น้ำมันหอย น้ำมันพืช และน้ำเปล่า สำหรับวิธีการทำจะเริ่มจากนำน้ำมันใส่กระทะตั้งไฟพอร้อน ใส่พริกขี้หนูกับกระเทียมลงผัดพอหอม จากนั้นใส่ผักบุ้งที่เตรียมไว้ลงผัดด้วยไฟแรงเร็วๆ แล้วหรี่ไฟ เติมน้ำผัดพอเข้ากัน ปรุงรสตามใจชอบ และเต้าเจี้ยว น้ำตาล และน้ำมันหอย และผัดให้ส่วนผสมทุกอย่างสุกเข้ากัน เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย

ต้องบอกเลยว่า เมนูนี้ทำได้ง่ายและหารับประทานได้ง่ายมาก แถมยังมีประโยชน์ มีคุณค่าทางสารอาหารสูง เพราะผักบุ้งนั้นประกอบไปด้วยวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตา ไม่ทำให้ปวดตา อีกทั้งยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการชะลอวัย ความแก่ชรา และชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยอีกด้วย จึงเป็นเมนูที่เหมาะสำหรับหนุ่มสาวที่ใช้สายตาอย่างหนักในการทำงาน ดังนั้น การรับประทานผักบุ้งเป็นประจำก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างวิตามินเอให้กับร่างกาย

ซึ่งเป็นการรับประทานอาหารเพื่อบำรุงสายตาโดยตรง นอกจากช่วยบำรุงสายตา ยังมีส่วนช่วยในการรักษาอาการสายตาสั้น ตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแดง และอาการคันตาบ่อยๆ มีสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง ช่วยป้องกันและลดโอกาสในการเป็นโรคมะเร็ง เพิ่มศักยภาพในการบำรุงสมองและเพิ่มความสามารถในการจดจำ มีกากใยมากช่วยในการขับถ่าย ป้องกันการท้องผูก บำรุงโลหิตและช่วยรักษาโรคโลหิตจาง สามารถลดน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเบาหวาน

ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงหัวใจ ลดการเกิดไขมันอุดตันเส้นเลือดและหัวใจวาย มีแคลอรีต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย นอกจากนั้น รากที่เรามักจะตัดทิ้งก่อนจะรับประทาน หรือนำไปประกอบอาหารนั้น ก็มีสรรพคุณทางยา ใช้แก้โรคหอบหืด บรรเทาอาการไอเรื้อรัง และยังช่วยลดอาการตกขาวในสตรีอีกด้วย นำรากผสมน้ำส้มสายชู คั้นมาบ้วนปากจะช่วยบรรเทาอาการปวดจากฟันผุได้

ดังนั้น เราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะทางเราเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่สำคัญเราจะต้องดูแลตัวเอง ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เราได้มีสุขภาพที่แข็งแรง อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการรับประทานอาหารก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน  เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สมบูรณ์ ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เพราะการไม่มีโรคถือเป็นลาภอันประเสริฐ และที่สำคัญที่สุด การใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้น ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการที่ทำให้เรามีสุขภาพที่ดี หากเรามีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอาหารการกินที่มีประโยชน์ ก็ถือว่าช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงได้ แต่ก็ควรหมั่นออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

2
เลือกอย่างไร เมื่อต้องใช้ฉนวนกันความร้อนห้องเครื่องจักรอุณหภูมิสูง

ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมต่างตระหนักดีว่า ถ้าไม่วางแผนติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ในโรงงาน จะส่งผลเสียรอบด้าน ทั้งทำให้ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น เสี่ยงทำให้เครื่องจักรทำงานหนักขึ้นจนมีโอกาสชำรุดเสียหายได้ง่าย รวมถึงยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานด้วย เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนเกินไปนั้นมีส่วนสำคัญในการบั่นทอนการทำงานของพนักงานในพื้นที่

แต่อย่างไรก็ตาม ในการเลือกฉนวนกันความร้อนสำหรับห้องเครื่องจักร หรืออุปกรณ์อุณหภูมิสูงนั้น ก็จำเป็นจะต้องใส่ใจในการเลือกให้ดี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยแนวทางในการพิจารณาเลือกใช้ ฉนวนกันความร้อน นั้น มีดังต่อไปนี้

1.ต้องรู้จักความสามารถในการทนความร้อนของฉนวนกันความร้อนที่เลือก

ฉนวนกันความร้อนโรงงานในตลาดนั้นมีหลากหลายประเภทให้เลือก แต่ละประเภททำมาจากวัสดุที่ต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ขีดความสามารถในการกันความร้อนหรือรักษาอุณหภูมินั้นก็จะแตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นเอง ในการเลือกใช้ ฉนวนกันความร้อน สำหรับงานอุณหภูมิสูง เราจึงจำเป็นต้องศึกษาให้รู้ถึงศักยภาพในการกันความร้อนของฉนวนเหล่านั้นให้ดี เพื่อให้สามารถกันความร้อนจากห้องเครื่องจักร หรือจากท่อน้ำร้อนน้ำเย็นของเราได้จริง

ยกตัวอย่างเช่น ฉนวนกันความร้อนสำหรับงานหุ้มท่อน้ำร้อนน้ำเย็นนั้น สามารถทนอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 10 องศาเซลเซียส ไปจนถึง 540 องศาเซลเซียส ถ้าหากท่อน้ำร้อนน้ำเย็นของโรงงานเรามีอุณหภูมิที่สูงกว่าหรือต่ำกว่านี้ ก็จะต้องพิจารณาเลือกใช้เป็นรุ่นอื่น ๆ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.ต้องเลือกฉนวนกันความร้อนที่ตอบโจทย์กับสภาพแวดล้อมของโรงงาน

ข้อนื้ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการหลาย ๆ คนมองข้ามไป เพราะอาจจะไปโฟกัสแต่เรื่องของความสามารถในการกันความร้อนอย่างเดียว ซึ่งให้เราลองจินตนาการดูว่า ถ้าโรงงานของเรามีสารเคมี มีความชื้น มีความเสี่ยงที่จะเกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือเกิดเพลิงไหม้ได้ง่ายนั้น

ตัวฉนวนกันความร้อนที่ใช้ ก็ควรที่จะมีคุณสมบัติในการตอบโจทย์ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมโรงงานด้วย เช่น ฉนวนกันความร้อนโรงงาน มีความสามารถในการกันชื้นสูง ไม่ลามไฟ และทนต่อสารเคมีได้ดี ทำให้เมื่อนำไปใช้ในโรงงานไม่ว่าจะสภาพแวดล้อมใด ก็จะรักษาความสามารถในการเป็นฉนวนเอาไว้ได้อย่างดี ไม่เสื่อมสภาพสิ้นอายุการใช้งานเร็วกว่าที่ควรจะเป็นเพราะถูกความชื้น ถูกสารเคมีในโรงงานทำให้เสื่อมสภาพ หรือในกรณีของการเกิดเพลิงไหม้ ฉนวนกันความร้อน ก็จะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้เพราะมีคุณสมบัติไม่ลามไฟ ทำให้เพิ่มความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินและทุกชีวิตในโรงงานได้มากขึ้น

3.ต้องเลือกฉนวนกันความร้อนที่ปลอดภัยต่อสุขอนามัยของพนักงาน

ฉนวนกันความร้อนมีหลายประเภท แต่ละประเภทผลิตจากวัสดุที่แตกต่างกัน ซึ่งวัสดุบางชนิดก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพนักงานได้ แต่อาจจะราคาถูกกว่า นั่นเองจึงทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องศึกษาข้อมูลของตัวฉนวนกันความร้อนที่เลือกใช้ให้ดี เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสุขภาพร่างกายของพนักงานอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่น ฉนวนกันความร้อน ที่เป็นฉนวนใยแก้ว ผลิตจากแก้วรีไซเคิล 100% เต็ม ได้รับการรับรองจาก IARC ของ WHO ว่าไม่มีสารก่อมะเร็งในมนุษย์ จึงปลอดภัยต่อสุขภาพของพนักงานตลอดไปจนถึงผู้คนในชุมชนใกล้เคียงด้วย

ห้องเครื่องจักรอุณหภูมิสูง งานอุตสาหกรรมเพื่อหุ้มท่อน้ำร้อนน้ำเย็น ถือเป็นสถานที่สำคัญในโรงงานที่ควรอย่างยิ่งต่อการวางแผนติดตั้งฉนวนกันความร้อน เพื่อช่วยในการรักษาอุณหภูมิ ลดการสูญเสียของพลังงาน และปรับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ให้ตอบโจทย์กับการปฏิบัติให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากที่สุด โดยฉนวนกันความร้อนที่จะนำมาใช้นั้น ก็จำเป็นจะต้องเป็นฉนวนคุณภาพ มีความสามารถในการกันความร้อนได้สูง ผ่านมาตรฐานการทดสอบ ASTM E84 และ BS476 และควรที่จะมีความแข็งแรง  รวมถึงปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมด้วย

3
motor expo 2025: สัมผัสความหรูหรา พรีเมียมของยนตรกรรม Mercedes-Benz พร้อมแคมเปญสุดพิเศษ

สัมผัสรถยนต์พรีเมียมที่สุด Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) ในงาน Motor Expo 2024  พร้อมกับแคมเปญสุดพิเศษส่งท้ายปี โดยขนทัพยนตรกรรมรุ่นใหม่มาจัดแสดงกว่า 7 รุ่น นำโดย G 580 with EQ Technology, G 450 d, Mercedes-Maybach EQS 680 SUV, Mercedes-Maybach S 580 e Premium, E 350 e Exclusive, V 300 d Exclusive, Vito 119 CDI Tourer Pro และรุ่นอื่น ๆ รวมกว่า 20 รุ่น โดยรถยนต์ทุกรุ่นมาพร้อมราคาและข้อเสนอเดียวกันทั้งประเทศ ไม่ว่าจะซื้อรถในงาน หรือที่ตัวแทนจำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2567

การตกแต่งบูธภายใต้คอนเซ็ปต์ “Own Your Star” มาจากสัญลักษณ์ดาวสามแฉกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งเปรียบยนตรกรรมแต่ละรุ่นเสมือนดวงดาวแต่ละดวงที่รอให้คุณมาครอบครอง พร้อมเปิดโอกาสให้คุณเป็นเจ้าของดวงดาวทุกรุ่น เมื่อจองรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ภายในงาน 100 ท่านแรก จะได้รับดวงดาวบนท้องฟ้า 1 ดวง ที่สามารถตั้งชื่อดวงดาวได้เอง พร้อมใบประกาศนียบัตร Star Certificate และพิกัดของดวงดาวที่มอบให้เพื่อคุณเพียงคนเดียว

 ชมคันจริงกับรถยนต์พรีเมียม 7 รุ่น

 รถยนต์ไฟฟ้าล้วน G 580 with EQ Technology Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology ครั้งแรกกับการสานต่อตำนาน 45 ปี ของ G-Class เจ้าของฉายา “King of Off-Road” ผสมผสานสมรรถนะระดับสูง และความหรูหราตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ แต่ยังคงความคลาสสิกด้วยรูปลักษณ์สไตล์ทรงกล่องได้อย่างลงตัว มอบความสมบูรณ์แบบด้านการขับขี่และการใช้งานในชีวิตประจำวัน​ที่มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ “STANDARD” และ “EDITION ONE” มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว แยกติดตั้งทั้ง 4 ล้อ ให้กำลังสูงสุด 587 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,164 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 4.7 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขับเคลื่อน 4 ล้อ  All-wheel drive วิ่งได้ไกลถึง 473 กิโลเมตร (WLTP) ต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 1 ครั้ง โดยยังรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC charge) สูงถึง 200 kW ใช้เวลาชาร์จเพียง 32 นาทีจาก 10-80% ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 11 ชั่วโมง 45 นาที โดยรุ่น STANDARD ราคาเริ่มต้น 9,500,000 บาท และรุ่น EDITION ONE (จำหน่ายจำนวนจำกัดเพียง 6 คัน) ราคาเริ่มต้น 12,200,000 บาท

Mercedes-Benz G 450 d ยนตรกรรมเอสยูวีขนาดใหญ่สำหรับผู้ที่หลงใหลในเสียงเครื่องยนต์ดีเซลอันทรงพลัง มาพร้อมดีไซน์ดุดันในแบบ G-Class โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ดีเซลรหัส OM 656M ความจุ 2,989 ซีซี พ่วงระบบ ISG2 (Integrated Starter Generator) ที่ให้พลังรวมสูงสุด 367 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดถึง 750 นิวตันเมตร ที่ 1,350-2,800 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 5.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กม./ชม. ระบบขับเคลื่อนที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้ทำให้รถยนต์คันนี้โดดเด่นทั้งด้านสมรรถนะการขับขี่และการประหยัดพลังงานไปอีกขั้น จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 12,200,000 บาท

 Mercedes-Maybach EQS 680 SUV รถยนต์ไฟฟ้า BEV (Battery electric vehicle) รุ่นแรกภายใต้แบรนด์ Mercedes-Maybach ที่สุดแห่งยนตรกรรมเอสยูวีที่ตอบโจทย์การใช้งานอันเหนือระดับ ที่มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motors) โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกติดตั้งบริเวณเพลาขับหน้าและหลัง ให้กำลังสูงสุดถึง 658 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 4.4 วินาที ต่อเนื่องทุกการเดินทางด้วยแบตเตอรี่แบบ High-voltage ชนิด Lithium-ion ที่มีความจุมากถึง 118.0 kWh พร้อมระบบขับเคลื่อน
4 ล้อที่ดีที่สุดอย่าง fully-variable 4MATIC+ all-wheel drive สามารถวิ่งได้ไกลถึง 615 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (WLTP) นับเป็นยนตรกรรมระดับ Top-End Luxury ที่สามารถมอบประสบการณ์แบบครบทุกสัมผัสทั้ง 5 อย่างเหนือระดับ จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 12,500,000 บาท

 Mercedes-Maybach S 580 e Premium ยนตรกรรมระดับไฮเอนด์ลักชัวรีที่สะท้อนเอกลักษณ์ความสง่างามตามแบบฉบับของ Mercedes-Maybach ครั้งแรกกับรุ่นประกอบในประเทศไทยและถือเป็นประเทศแรกที่ขึ้นไลน์ผลิตตัวถังสีทูโทนแบบ Local Production โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อนผสานขุมพลังแบบปลั๊กอินไฮบริด รวมทุกความเป็นเลิศเหนือจินตนาการทั้งสมรรถนะ ดีไซน์ภายนอกและภายใน เทคโนโลยีที่มอบความสะดวกสบายและประสบการณ์ที่เหนือระดับ พร้อมสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ด้วยยนตรกรรมระดับสูงสุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ กลับมาพร้อมตัวถังสีทูโทนใหม่ “High-tech Silver/Selenite Grey” จำหน่ายในราคาเริ่มต้น 11,300,000 บาท

  E 350 e Exclusive ยนตรกรรมระดับไอคอนที่ผสานความเป็นเลิศในทุกด้าน ทั้งดีไซน์สุดลักชัวรี เทคนิคที่ล้ำสมัย และความสะดวกสบายชั้นเยี่ยม พร้อมการกลับมาอีกครั้งของการออกแบบระดับตำนานที่แสดงถึงความหรูหราและเอกลักษณ์เฉพาะตัวกับโลโก้ “ดาวลอย” (MB logo on bonnet) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์รูปดาวสามแฉกอันโดดเด่น ที่ติดตั้งอยู่บนฝากระโปรงหน้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเทคโนโลยี Plug-in HYBRID เจเนอเรชันที่ 4 ที่ได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ทั้งความจุของแบตเตอรี่ Li-Ion ที่มีความจุมากถึง 25.4 kWh ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ Electric mode ได้ไกลมากกว่า 100 กิโลเมตร (WLTP) และการปรับปรุงมอเตอร์ไฟฟ้าให้มีพละกำลังมากกว่าเดิม โดยเมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งระบบ จะมอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 550 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.4 วินาที รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 55 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% เพียง 30 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWใช้เวลาชาร์จจาก 0–100% ในระยะเวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที

 V 300 d Exclusive รถแวนอเนกประสงค์ 6 ที่นั่ง ในตระกูล V-Class เป็นรุ่นนำเข้ามาตรฐานยุโรป ออกแบบมาเพื่อเป็นรถสำหรับครอบครัว หรือผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย และความหรูหราระดับเฟิร์สคลาส มาพร้อมการตกแต่งภายในที่พิถีพิถัน พื้นที่กว้างขวาง ฟังก์ชั่นการใช้งานที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร สมรรถนะและการขับขี่ที่ดีเยี่ยม รวมถึงเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เจเนเรชั่นใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 1,950 ซีซี สามารถรีดพละกำลังสูงสุด 237 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ในระยะเวลา 7.4 วินาที มีความเร็วสูงสุดโดยประมาณที่ 220 กม./ชม. โดยมีระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) ที่มีจุดเด่นในการรักษาระดับการทำงานของรอบเครื่องยนต์ให้ต่ำ และช่วยให้จังหวะการเร่งเครื่องมีความต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น จำหน่ายในราคา 5,820,000 บาท

 Vito 119 CDI Tourer Pro รถแวนพรีเมียมอเนกประสงค์ขนาด 11 ที่นั่ง ออกแบบมาพร้อมความสมบูรณ์แบบระหว่างฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน และความหรูหราสไตล์เมอร์เซเดส-เบนซ์ มอบความกว้างขวาง และเทคโนโลยีระดับเฟิร์สคลาส เหมาะสำหรับทั้งการเป็นรถครอบครัวและการใช้งานในทางธุรกิจ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 1,950 ซีซี มอบกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ในระยะเวลา 9.5 วินาที มีความเร็วสูงสุดโดยประมาณที่ 204 กม./ชม. ผสานการทำงานกับระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่น

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ SUV มาพร้อมขุมพลังเบนซิน 6 สูบ แถวเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบ (M256M) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Plug-in hybrid และแบตเตอรี่ขนาด 31.2 kWh มีระยะทางการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 86 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จแบบ DC สูงสุด 60 kWh ใช้เวลาจาก 10-80% ภายในระยะเวลา 20 นาที และการชาร์จแบบ AC สูงสุด 11 kWh ใช้เวลาจาก 0 - 100% ภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมง ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+ สามารถกระจายแรงส่งกำลังได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังแบบอิสระเพื่อให้ตอบโจทย์บนทุกสภาพพื้นผิวถนน ใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G ให้กำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายในเวลา 4.7 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคา 5,850,000 บาท

 Mercedes-Benz EQE 350 4MATIC SUV AMG Line เป็นรถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า ที่มาพร้อมระบบการขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ทำให้รถยนต์คันนี้เหมาะกับการขับขี่ทั้งในรูปแบบ On Road และ Off Road โดยผสานขุมพลังไฟฟ้า 100% จากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ Permanently Excited Synchronous Motors (PSM) มอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 292 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 765 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.6 วินาที ในด้านของแหล่งพลังงาน ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูงแบบลิเธียมไอออน (Li-Ion) ความจุ 89 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลกว่า 558 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 170 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 10 – 80% เพียง 31 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 9 ชั่วโมง 30 นาที ราคา 5,300,000 บาท และ

 Mercedes-benz  EQE 300 ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นล่าสุดในไลน์อัพของ EQE ที่มาพร้อมตัวถังแบบซีดาน ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว (Single Motor) บริเวณตำแหน่งล้อหลัง มอบกำลังแรงม้าสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 7.3 วินาที ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูงความจุ 89 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลถึง 651 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 170 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 10 – 80% เพียง 32 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 9 ชั่วโมง 15 นาที ราคา 3,970,000 บาท

 Mercedes-benz CLE 300 4MATIC Coupé AMG Dynamic  รถสปอร์ตคูเป้ 2 ประตู 4 ที่นั่ง ในเซกเมนต์เดียวกับ E-Class Coupé นำเสนออีกขั้นของการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความสปอร์ต ความหรูหรา และความทันสมัยตามสไตล์ยนตรกรรมยุคใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง 2.0 ลิตร เทอร์โบ ทำงานร่วมกับระบบไฟฟ้า Mild-Hybrid 48V ติดตั้งระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ กระจายการส่งกำลังที่ด้านหน้า 45% และด้านหลัง 55% ใช้เกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) ให้กำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายในเวลา 6.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.

 แอปฟลิเคชัน Mercedes-Benz เพิ่มความสะดวกสบาย
ภายในบูธจัดแสดงรถยนต์ ลูกค้าสามารถทดลองใช้งานแอปฟลิเคชัน Mercedes-Benz ในการสั่งการ รถยนต์ที่จัดแสดงได้ อาทิเช่น การควบคุมรถยนต์จากระยะไกล การค้นหาตำแหน่งรถยนต์ ทั้งนี้ บริการเสริม "Digital Extras" บนแอปฯ Mercedes-Benz มีให้พร้อมกับรถยนต์ตั้งแต่แรกซื้อ และสามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 36 เดือน โดยขึ้นอยู่กับรุ่นรถยนต์ อุปกรณ์ติดตั้งพิเศษที่เลือกปีการผลิต และประเทศที่จำหน่าย

 แคมเปญพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 100%
และสำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2567 จะได้รับข้อเสนอสุดพิเศษ “Worry-Free Package” มอบความอุ่นใจและประสบการณ์แบบเหนือขีดจำกัดในทุกการเดินทาง ดังนี้ เงินชำระส่วนแรก 0% สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทุกรุ่น เมื่อทำสัญญามายสตาร์*
รับฟรี ค่าบริการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบ DC ไม่จำกัดจำนวนครั้ง (Unlimited DC Charging)
เป็นระยะเวลา 1 ปี ผ่านสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่กำหนดไว้ของผู้ให้บริการ SHARGE**
รับฟรี Wallbox พร้อมติดตั้ง**
รับประกันแบตเตอรี่ 10 ปี หรือไม่เกินระยะทางสูงสุด 250,000 กิโลเมตร**

 *เมื่อเริ่มต้นสัญญามายสตาร์กับบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ในรถรุ่นที่ร่วมรายการ โดยเงินชำระส่วนแรก หมายถึง เงินชำระงวดแรกตามที่ระบุในสัญญามายสตาร์ และค่าเช่าชำระข้างต้น อ้างอิงแคมเปญเงินชำระครั้งแรก 0% ที่ระยะเวลาของสัญญา 60 เดือน โดยกำหนดระยะทางการใช้งานรถยนต์ที่ 20,000 กิโลเมตร/ปี
**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กำหนด

 นอกจากการจัดแสดงรถยนต์หลากหลายรุ่นแล้ว ในปีนี้ที่บูธเมอร์เซเดส-เบนซ์ จัดแสดงสินค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ คอลเลคชั่น และสินค้าประดับยนต์ ที่มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ อาทิ หมวก, สินค้าสำหรับเด็ก, เสื้อและแจ็คเก็ต, แก้วและกระติกน้ำ และสินค้าประเภทกีฬา พร้อมข้อเสนอพิเศษ! ได้แก่
ซื้อสินค้าประดับยนต์หรือคอลเลคชั่น จำนวน 2 ชิ้น ยอดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป
            (ต่อใบเสร็จ) รับฟรี! สินค้าอีก 1 ชิ้น (ชิ้นที่มูลค่าต่ำที่สุดในใบเสร็จเดียวกัน)**
รับของขวัญพิเศษ! กระเป๋าเมอร์เซเดส-เบนซ์** (มูลค่า 12,250 บาท) สำหรับลูกค้าที่มียอดสูงสุดในการซื้อสินค้าประดับยนต์หรือคอลเลคชั่น ในวันที่ 29 พ.ย. 67, 30 พ.ย. 67, 1 ธ.ค. 67, 6 ธ.ค. 67, 7 ธ.ค. 67, 8 ธ.ค. 67 และ 10 ธ.ค. 67

 ข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าสมาชิกบัตรเครดิตยูโอบี เมอร์เซเดส (UOB Mercedes) ที่มีการชำระค่าจองรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ผ่านช่องทางออนไลน์ 50,000 บาท/เซลส์สลิป ภายในงาน Motor Expo 2024 รับสิทธิ์แลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 50%** เมื่อใช้คำแนนสะสมเท่ากับยอดจองรถยนต์ (จำกัด 1 สิทธิ์/ผู้ถือบัตร/ตลอดรายการ) รวมถึงบัตรกำนัลเซ็นทรัล มูลค่าสูงสุด 2,500 บาท** และคะแนนสะสมซิตี้ รีวอร์ด 25 เท่า** (สำหรับทุกการใช้จ่าย 25 บาท)

 **เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กำหนด

4
อาชีพเสริม จากหมี่กรอบส้มซ่า อาหารไทยร่วมสมัยตำรับชาววัง รสชาติหอมอร่อย กลิ่นรสสดชื่นจากส้มซ่า

มรดกทางอาหารอันล้ำค่าของประเทศไทยเต็มไปด้วยอาหารรสเลิศที่ผสมผสานทั้งเนื้อสัมผัส รสชาติและกลิ่นหอมเข้าด้วยกัน อาหารอันโดดเด่นที่มักดึงดูดความสนใจจากทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวก็คือหมี่กรอบส้มซ่า ซึ่งเป็นอาหารจานหายากและล้ำสมัยซึ่งมีรากฐานมาจากอาหารไทยแบบดั้งเดิม หมี่กรอบส้มซ่าเป็นอาหารไทยโบราณที่หารับประทานได้ยากในปัจจุบัน

หมี่กรอบส้มซ่ามีส่วนประกอบและขั้นตอนการทำที่ซับซ้อน ต้องใช้ความพิถีพิถันในการทำทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมเส้นหมี่ การทำน้ำปรุงรส ไปจนถึงการทอดหมี่

รสชาติแห่งประวัติศาสตร์
หมี่กรอบมีต้นกำเนิดในสมัยรัชกาลที่ 5 และได้รับความนิยมอย่างมากในราชสำนัก การใส่ส้มซ่าซึ่งเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวคล้ายมะกรูดที่มีเปลือกหอม ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับเมนูหมี่กรอบจานนี้ได้เป็นอย่างดี กลิ่นหอมของผลไม้ช่วยเสริมรสชาติหวาน เปรี้ยว และเผ็ดของเมนูนี้ ทำให้หมี่กรอบกลายเป็นสมบัติล้ำค่าด้านอาหาร

ส่วนผสมหลักและรสชาติ

ส่วนผสมที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนทำให้หมี่กรอบส้มซ่ามีลักษณะดังนี้:

เส้นข้าวเกรียบ:เส้นนี้มีสีเหลืองทองและกรุบกรอบ เป็นส่วนประกอบหลักของเมนูนี้
น้ำตาลปี๊บและซอสมะขาม:สร้างความสมดุลที่ลงตัวระหว่างกลิ่นหวานและเปรี้ยว
กุ้งและเต้าหู้:เพิ่มมิติความอร่อยและอุดมไปด้วยโปรตีน
เปลือกส้มซ่า:เพิ่มกลิ่นหอมส้มอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับจานอาหาร
สมุนไพรสดและพริก:เพิ่มรสชาติที่สดใสและมีกลิ่นเผ็ดเล็กน้อย

วิธีการทำ
การทำหมี่กรอบต้องพิถีพิถัน เริ่มจากนำเส้นก๋วยเตี๋ยวบางไปทอดจนเหลืองกรอบ จากนั้นเคี่ยวด้วยซอสที่ทำจากน้ำตาลมะพร้าว มะขาม และน้ำปลาจนข้น จากนั้นผสมกับกุ้ง เต้าหู้ และเส้นก๋วยเตี๋ยวกรอบ ปิดท้ายด้วยกลิ่นหอมจากเปลือกส้มซ่าหั่นบางและสมุนไพรสด

เพราะเหตุใดจึงคุ้มค่าที่จะลอง
หมี่กรอบส้มซ่าเป็นผลงานชิ้นเอกด้านการทำอาหารที่มอบประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่น่ารื่นรมย์ เส้นหมี่กรอบตัดกับซอสรสละมุนได้อย่างสวยงาม ขณะที่กลิ่นหอมของส้มซ่าก็เพิ่มความอร่อยล้ำ เป็นเมนูที่แสดงให้เห็นถึงความสง่างามและความคิดสร้างสรรค์ที่แฝงอยู่ในอาหารไทย

หาหมี่กรอบส้มซ่าได้ที่ไหน
แม้ว่าเมนูนี้จะหายากในปัจจุบัน แต่ร้านอาหารไทยดั้งเดิมและร้านอาหารเฉพาะทางบางแห่งก็ยังคงมีหมี่กรอบส้มซ่าจำหน่ายอยู่ หรือผู้ที่สนใจทำอาหารไทยสามารถลองทำเมนูคลาสสิกนี้เองที่บ้านโดยใช้วัตถุดิบสดใหม่และความอดทนเล็กน้อย

อัญมณีที่ซ่อนเร้นของอาหารไทย
หมี่กรอบส้มซ่าไม่ได้เป็นแค่เพียงอาหารจานเดียว แต่เป็นการเดินทางข้ามกาลเวลาที่สะท้อนถึงความชาญฉลาดและศิลปะของประเพณีการทำอาหารไทยโบราณ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติที่เข้มข้นและประสบการณ์การรับประทานอาหารที่หาได้ยาก ความอร่อยกรอบหอมกรุ่นนี้เป็นเมนูที่ต้องลอง

5
การเตรียมตัวและวางแผนอย่างรอบคอบ สำหรับอาชีพเสริมที่ควรรู้

การเตรียมตัวและวางแผนอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอาชีพเสริม เพื่อให้คุณสามารถสร้างรายได้เสริมได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ต่อไปนี้คือขั้นตอนและสิ่งที่ควรพิจารณา:

1. สำรวจตัวเองและตลาด:

ความสนใจและความถนัด:
เริ่มต้นด้วยการสำรวจว่าคุณชอบอะไร ทำอะไรได้ดีเป็นพิเศษ หรือมีทักษะอะไรที่สามารถนำมาใช้สร้างรายได้ได้บ้าง
การทำในสิ่งที่ชอบจะช่วยให้คุณมีความสุขและมีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น

ความต้องการของตลาด:
ศึกษาว่าตลาดมีความต้องการสินค้าหรือบริการอะไรบ้าง และมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นใคร
มองหาช่องว่างในตลาดที่คุณสามารถเข้าไปเติมเต็มได้

คู่แข่ง:
วิเคราะห์ว่ามีคู่แข่งในตลาดมากน้อยแค่ไหน และพวกเขามีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร
หาจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

2. วางแผนธุรกิจ:

แนวคิดธุรกิจ:
กำหนดแนวคิดธุรกิจให้ชัดเจน ว่าคุณจะขายอะไร ให้บริการอะไร และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือใคร

แผนการตลาด:
วางแผนว่าจะโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณอย่างไร จะเข้าถึงลูกค้าได้อย่างไร

แผนการเงิน:
คำนวณต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพเสริม
ประมาณการรายได้และผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับ

3. เตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ:

พัฒนาทักษะ:
หากอาชีพเสริมที่คุณสนใจต้องใช้ทักษะเฉพาะด้าน ให้เริ่มพัฒนาทักษะเหล่านั้น เช่น การเรียนคอร์สออนไลน์ การฝึกฝนด้วยตัวเอง หรือการเข้าร่วมกลุ่มที่เกี่ยวข้อง

จัดเตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือ:
เตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำอาชีพเสริม เช่น คอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายรูป หรืออุปกรณ์ทำอาหาร

สร้างเครือข่าย:
สร้างความสัมพันธ์กับผู้คนในแวดวงที่คุณสนใจ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และโอกาสทางธุรกิจ

เตรียมความพร้อมด้านจิตใจ:
การทำอาชีพเสริมอาจต้องเผชิญกับความท้าทายและความไม่แน่นอน เตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับอุปสรรค และมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และพัฒนา

4. การจัดการเวลา:

จัดสรรเวลา:
วางแผนการจัดการเวลาให้เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถทำงานประจำและอาชีพเสริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กำหนดเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนให้ชัดเจน และพยายามปฏิบัติตามแผน

สร้างสมดุล:
ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลระหว่างงานประจำ อาชีพเสริม และชีวิตส่วนตัว
หลีกเลี่ยงการทำงานหนักเกินไปจนส่งผลเสียต่อสุขภาพและชีวิตส่วนตัว

5. การเรียนรู้และพัฒนา:

เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง:
เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และติดตามข่าวสารในอุตสาหกรรมของคุณอย่างสม่ำเสมอ
ปรับปรุงและพัฒนาสินค้าหรือบริการของคุณให้ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ
รับฟังความคิดเห็น:
รับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจของคุณ

ข้อควรจำ:

ความอดทนและความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการทำอาชีพเสริม
อย่ากลัวที่จะเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง
หาแรงบันดาลใจและกำลังใจจากผู้ที่ประสบความสำเร็จ
การเตรียมตัวและวางแผนอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณเริ่มต้นอาชีพเสริมได้อย่างมั่นใจ และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ

6
ทาวน์โฮม ไอดิลล์ มาบโป่ง (Idyl Map Pong)
เริ่มต้น 1.69 ลบ.

ไอดิลล์ มาบโป่ง (Idyl Map Pong)
ไอดิลล์ มาบโป่ง ทาวน์โฮมชั้นเดียวสไตล์ญี่ปุ่น ใกล้ชิดธรรมชาติ ด้วยพื้นที่ที่ออกแบบอย่างเข้าใจ ตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ความสุขที่พอดีกับชีวิตที่ลงตัว ความสะดวกที่ครบครัน เดินทางสะดวกเข้าสู่นิคมอมตะนคร ชลบุรี และแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย พร้อมพื้นที่สวนส่วนกลาง ให้คุณได้พักผ่อน เพลิดเพลินกับธรรมชาติ

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ           ไอดิลล์ มาบโป่ง (Idyl Map Pong)
 เจ้าของโครงการ      เอ็ม ที เอส พัฒนาสินทรัพย์
 ราคา                   เริ่มต้น 1.69 ลบ.

 ประเภทบ้าน            ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล          บ้านลักษณะทำเลอื่น
 พื้นที่โครงการ         10 ไร่
 จำนวนบ้าน            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 แบบบ้านทั้งหมด      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
  เนื้อที่บ้าน             ตั้งแต่ 23.5 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย           ตั้งแต่ 82 ตร.ม.
 จำนวนชั้น             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน         2 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ         2 คัน
 สาธารณูปโภค           สวนสาธารณะ, รปภ.

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน      พานทอง
 ที่ตั้ง      ตำบลมาบโป่ง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี 20160

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้ทางด่วน (มอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี สายใหม่)
ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนศุขประยูร)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
1.วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (E-TECH)
2.นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร
3.โรบินสันไลฟ์สไตล์ ชลบุรี
4.โรงพยาบาลวิภาราม
5.โรงพยาบาลพนัสนิคม

7
ตรวจหาโรคปอดระยะแรกเริ่ม

โรคระบบทางเดินหายใจและโรคปอดเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด ทำให้ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ และเป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการตายของประชากรโลกสูงมาก อยู่ในอันดับต้น ๆ นอกจากนั้นยังเป็นโรคที่ต้องให้การรักษาอาการป่วยเรื้อรัง เนื่องจากปอดพิการ ทำให้มีอาการเหนื่อย หอบ หายใจลำบาก


หน้าที่ของปอด

ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพื่อการดำรงชีวิต ออกซิเจนที่มีอยู่ในอากาศจะเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจเข้าไป ออกซิเจนจะไหลผ่าน จมูก ลำคอ หลอดลม เข้าไปถึงปอด และซึมเข้าสู่กระแสเลือด ที่ไหลมายังปอด เพื่อนำไปเลี้ยงร่างกาย นอกจากนั้นเลือดยังนำของเสียที่ร่างกายสร้างขึ้น คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มายังปอด และขับถ่ายทิ้งไปทางลมหายใจออก

การแลกเปลี่ยนก๊าซทั้งสองต้องอาศัยปอดที่ทำงานได้ตามปกติ ถ้าปอดพิการทำงานไม่ได้ตามปกติ จะทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก เพราะต้องออกแรงหายใจเพิ่มขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนให้พอใช้ และในที่สุดอาจตายได้จากการที่ร่างกายขาดออกซิเจนหรือจากคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในเลือด ซึ่งทำให้มีภาวะกรดเกิน เพราะหายใจได้ไม่พอ ระบบทางเดินหายใจและปอดเป็นอวัยวะที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคและเสื่อมสมรรถภาพ

ปอดเสื่อมได้

ระบบทางเดินหายใจและปอดก็เหมือนอวัยวะอื่น ๆ คือ มีการเสื่อมลงตามอายุขัย ปกติเราหายใจเข้าออกครั้งละประมาณ 300 – 500 ลบ.ซม. หายใจนาทีละ 10 – 20 ครั้ง หรือนาทีละ 5 – 10 ลิตร ประมาณว่า เราหายใจเข้าออกวันละ 8,000 – 12,000 ลิตร หากอากาศที่เราหายใจเข้าไปไม่บริสุทธิ์ ที่เรียกว่ามี มลภาวะเป็นพิษ ในอากาศมีสารและก๊าซที่เป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจ

อีกทั้งการสูบบุหรี่ การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภทก็ทำให้มีมลภาวะเป็นพิษเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบ ทางเดินหายใจและปอดเสื่อมเร็วกว่าที่ควร หรือทำให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะในปอด นอกจากนั้นในอากาศยังมีเชื้อโรค เชื้อไวรัส และเชื้ออื่น ๆ ที่เมื่อหายใจเข้าไป ทำให้เกิดโรคในปอดที่พบบ่อย คือ เชื้อวัณโรค

อาการโรคปอด

เหนื่อยง่าย
    ไอแห้ง ๆ
    ไอมีเสมหะ
    ไอเป็นเลือด
    เจ็บหน้าอก

แต่บ่อยครั้งที่โรคปอดจะไม่แสดงอาการ แต่เมื่อแสดงอาการก็อาจสายเกินไป อาจรักษาไม่หายขาด หรือแม้ว่าจะหาย แต่มีการทำลายเนื้อปอดมาก ทำให้มีอาการปอดพิการได้ โดยเฉพาะถ้ารักษาช้าไป หรือรักษาไม่ถูกวิธี ถึงแม้จะหายจากโรคก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากการที่ปอดทำหน้าที่ได้ไม่เพียงพอ โรคปอดเรื้อรังที่เมื่อเป็นแล้วมักไม่มีอาการในระยะแรก แต่เมื่อมีอาการก็มักจะสายเกินไปที่จะรักษาให้หายขาดได้ หรือให้ปอดกลับมาทำงานได้ตามปกติ

โรคปอดที่พบบ่อย

วัณโรค (Tuberculosis)

หลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมปอดโป่งพอง (Chronic ฺBronchitis and Emphysema หรือ COPD)

มะเร็งในปอด (Lung Cancer)

โรคหอบหืด (Bronchial Asthma)

ใครควรตรวจโรคปอด

ผู้ที่มีอาการทางระบบหายใจ ได้แก่

ผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง โดยเฉพาะไอมีเสมหะ ไอมีเลือดออกมาด้วย

เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะตรวจทางหัวใจแล้วปกติ หรือหายใจมีเสียงหืด

เจ็บหน้าอก โดยเฉพาะหายใจแล้วเจ็บมากขึ้น

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง ได้แก่

ผู้ที่สูบบุหรี่ ใช้ยาเสพติด

ทำงานในโรงงานที่มีมลภาวะ มีควัน มีก๊าซเคมีที่เป็นพิษต่อทางเดินหายใจ

ทำงานในเหมืองแร่ โรงโม่หิน โรงผลิตซีเมนต์

ทำงานในบรรยากาศที่อาจมีการเปื้อนปนหายใจเอาสารกัมมันตภาพเข้าไป

โรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องใช้สารแอสเบสตอส (Asbestos Fiber) เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ ตู้เย็น ฯลฯ

ผู้ได้รับการรักษาโดยการฉายแสงบริเวณทรวงอก

ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันการติดเชื้อต่ำ

ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคที่อยู่ในระยะติดต่อ

ในผู้สูงอายุก็สามารถตรวจได้ เพราะมะเร็งปอดพบได้ในคนที่ไม่สูบบุหรี่หรือไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และโอกาสหายขาดจะมีมากกว่าเมื่อพบโรคขณะที่ยังไม่มีอาการ

8
จัดฟันบางนา: จัดฟันแบบใส ช่วยให้ฟันมีประสิทธิภาพ คุ้มค่าเกินคาด

การจัดฟันแบบใส เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เข้ารับการรักษามีฟันที่สวยเป็นธรรมชาติ สร้างความมั่นใจ สร้างรอยยิ้มได้อย่างสวยงาม มีเสน่ห์ เชื่อว่าหลายคนที่กำลังจะเข้ารับการจัดฟันไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด อาจจะต้องศึกษาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆก่อนเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับคำปรึกษาจากทันตแพทย์จัดฟัน ซึ่งการจัดฟันแบบใส ก็เป็นการจัดฟันอีกรูปแบบหนึ่งที่ต้องบอกว่า ตอบโจทย์ไลพ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี


สำหรับการจัดฟันแบบใส หลายคนมองว่าค่าใช้ค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงกว่าการจัดฟันแบบทั่วไป เพราะด้วยการจัดฟันแบบใส มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษาตั้งแต่ขั้นตแผนการวางแผนการรักษาไปจนถึงการรักษาจนเสร็จสิ้นการรักษา ดังนั้น การจัดฟันแบบใส ถึงแม้ว่าจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง แต่ผลการรักษาและประสิทธิภาพ รับรองว่า คุ้มค่าเกินราคาแน่นอน อาจจะสงสัยว่า การจัดฟันแบบใส มีประสิทธิภาพอย่างไร ต้องบอกว่า การรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส เป็นการรักษาที่จะทำให้ฟันของเรามีประสิทธิภาพในการใช้งานมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดี ทำให้ดีต่อสุขภาพโดยรวมของเราด้วย

วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการจัดฟันแบบใส ที่ช่วยทำให้ฟันของเรามีประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น ช่วยทำให้เราสามารถรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ แถมยังช่วยทำให้มีรอยยิ้มที่สวยงามเป็นธรรมชาติอีกด้วย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การจัดฟันแบบใส เป็นการรักษาด้วยการจัดฟันที่มีความสะดวกสบายต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่ การรับประทานอาหาร ไปจนถึงขั้นตอนการทำความสะอาดช่องปากและฟัน ด้วยการจัดฟันแบบใส จะช่วยทำให้ฟันของเราเรียงตัวอย่างสวยงาม เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น


แน่นอนว่าจะส่งผลทำให้การรับประทานอาหาร การบดเคี้ยวอาหารเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าการจัดฟันแบบใส จะสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันแบบใสได้ขณะรับประทานอาหาร ทำให้รับประทานอาหารได้อย่างหลากหลาย ส่งผลให้ผู้เข้ารับการจัดฟันได้รับประทานอาหารที่ชื่นชอบ และทำให้มีการบดเคี้ยวอาหารที่ดีขึ้นด้วย เพราะการที่ฟันของเราเรียงตัวอย่างระเบียบเรียบร้อย จะทำให้มีประสิทธิภาพในการรับประทานอาหาร ช่วยทำให้สามารถทำความสะอาดได้อย่างเต็มที่ ทั่วถึงมาก


ยิ่งขึ้นนั่นเอง นี่จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใส จะช่วยทำให้ฟันของเราสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และคุ้มค่ากับเงินที่เราเสียไปอย่างแน่นอน เรียกว่าได้ผลดีเกินคาดเลยทีเดียว หากใครสนใจเข้ารับการรักาด้วยการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมมาอย่างยาวนาน ทำให้เราได้รับการการันตีว่า การบริการของทางคลินิกมีความน่าเชื่อถือ และสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้คลินิกของเรายังได้รับการรับรองสูงสุดจาก Invisalign เพื่อเป็นการการันตีอีกขั้นหนึ่งว่า คลินิกของเรามีมาตรฐานตามระบบสากล มีความน่าเชื่อถือ มีทันตแพทย์ที่ผ่านการอบรมขั้นสูงจาก Invisalign จึงทำให้มั่นใจได้ว่า หากเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใสจากทางคลินิกคุณจะมีฟันที่เรียงตัวเป็นระเบียบ มีฟันที่สวยงาม สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แถมยังมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

9
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส  ฟันสวยเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

การจัดฟันแบบใส เป็นการจัดฟันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งเป็นการใช้เครื่องมือจัดฟันที่มีความใสสามารถถอดออกได้ และออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาฟันแต่ละบุคคลโดยวางแผนการรักษาในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยที่ผู้เข้ารับสามารถออกแบบรอยยิ้มของตัวเองได้ และสามารถดูแผนการรักษาออกมาในรูปแบบของ 3D โดยเครื่องมือจัดฟันแบบใสนี้ สามารถทำให้ฟันของผู้เข้ารับการจัดฟันจัดเรียงตัวได้สวยงามเป็นธรรมชาติ โดยที่ไม่มีใครรู้ ซึ่งแน่นอว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใสแตกต่างจากการจัดฟันแบบเหล็กทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยตัวเครื่องมือการจัดฟันที่เครื่องมือจัดฟันแต่ละชุดจะค่อยๆจัดเรียงฟันอย่างเป็นธรรมชาติ และวิธีการรักษา รวมไปถึงข้อจำกัดต่างๆด้วย


สำหรับข้อจำกัดที่มีความสำคัญมากที่สุด ก็น่าจะเป็นการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน ที่ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องมีระเบียบวินัยในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน เพราะเครื่องมือการจัดฟันแบบใส จะทำงานตลอดเวลาที่ผู้เข้ารับการจัดฟันสวมใส่เครื่องมือ และข้อดีของการจัดฟันแบบใส แน่นอนว่า ใครที่ใใส่ใจในเรื่องของบุคลิกภาพ ก็คงจะต้องเลือกการจัดฟันแบบใส เป็นทางออกแรกสำหรับการแก้ไขปัญหาฟัน เพราะ การจัดฟันแบบใส จะทำให้ฟันของผู้เข้ารับการรักษามีการเรียงตัวที่รวดเร็ว จึงทำให้ผู้เข้ารับกรจัดฟันแบบใส มีฟันที่สวยได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

สำหรับวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการจัดฟันแบบใส ที่จะทำให้คุณมีฟันที่เรียงตัวอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น เป็นการรักษาที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันของใครหลายๆคน เนื่องจากเครื่องมือการจัดฟันแบบใสที่จุดเด่นและข้อดีก็คือมีความใส เวลาที่ผู้เข้ารับการจัดฟันสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแล้ว จะทำให้คนอื่นมองแทบไม่ออกเลยว่าเรากำลังเข้ารับการจัดฟันอยู่ นอกจากนี้ เครื่องมือการจัดฟันแบบใสยังไม่ส่งผลต่อการพูดอีกด้วย เพราะเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาให้เข้ากับช่องปากได้เป็นอย่างดี จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาในการพูด


นอกจากนี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้เข้ารับการจัดฟันด้วย เพราะผู้เข้ารับการจัดฟัน ยังสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ โดยไม่มีเครื่องมืออยู่ภายในช่องปาก และที่สำคัญมากไปกว่านั้น ก็คือ ผู้เข้ารับการจัดฟันยังสามารถถอดเครื่องมือออกได้ขณะที่ทำความสะอาดช่องปากและฟัน จึงทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถทำความสะอาดฟันได้ตามปกติ โดยไม่อุปสรรคในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันเลย อย่างไรก็ตาม เวลาที่ผู้เข้ารับการจัดฟัน สวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน จะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีฟันที่สวยงาม เพราะเครื่องมือที่เราสวมใส่นั้น ส่งผลทำให้เครื่องมือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทุกครั้งที่เราสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน เครื่องมือจะทำหน้าที่เคลื่อนตัวฟันให้ไปอยู่ในตำแหน่งทีทันตแพทย์ได้ทำการวางแผนไว้นั่นเอง ซึ่งเราสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเลย จนกว่าฟันของเราจะเข้าที่และเคลื่อนไปในตำแหน่งที่เหมาะสม ดังนั้น การจัดฟันแบบใส จึงช่วยทำให้ฟันมีความสวยงาม เรียงตัวกันอย่างเป็นธรรมชาติ ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วย

อย่างไรก็ตาม การเข้ารับการจัดฟันแบบใส ยังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน หากใครสนใจเข้ารับการรักาาด้วยการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันแบบใส มีประสบการณ์ทางด้านการจัดฟันมาทุกรูปแบบ และอย่างยาวนาน จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้องตามหลักสากล ทั้งนี้ คลินิกของเรา ยังได้รับการรับรองสูงสุดจาก Invisalign สามารถให้บริการจัดฟันแบบใสได้อย่างมีมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังมีความปลอดภัย เครื่องมือและอุปกรณ์ในการรักษามีความทันสมัย มีความสะอาด ปลอดภัย จึงทำให้มั่นใจได้ว่า หากคุณเข้ารับการรักษาที่คลินิกจะทำให้คุณได้รับการรักษาที่มีความน่าเชื่อถือและมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน

10
มือถือ Xiaomi เสียวหมี่ Xiaomi 14 Ultra (16GB/512GB)
40,990 บาท

เสียวหมี่ Xiaomi 14 Ultra (16GB/512GB)
เลนส์ออปติคอล Summilux จาก Leica เลนส์ Telephoto แบบลอยตัว ขนาด 75 มม. และเลนส์ Periscope ขนาด 120 มม.
กล้องหลักขนาด 1 นิ้ว จาก Leica รูรับแสงระหว่าง F1.63 ถึง F4.0
ระบบกล้องสี่ตัวจาก Leica สี่เลนส์ หกความยาวโฟกัส
จอแสดงผล All Around Liquid Display การออกแบบที่เรียบหรู การรับชมที่ดื่มด่ำ
ชิปเซ็ต Snapdragon® 8 Gen 3 ความเร็วพิเศษและการประหยัดพลังงานสำหรับการใช้งานตลอดทั้งวัน*
จอแสดงผล WQHD+ dynamic 1-120Hz AMOLED การตอบสนองที่ราบรื่นเป็นพิเศษพร้อมรายละเอียดที่น่าทึ่ง

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น         เสียวหมี่ Xiaomi 14 Ultra (16GB/512GB)
   ราคากลาง      40,990 บาท
   จำนวนซิม      2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์       จอสัมผัส
   สี                 White, Black

   ความถี่-เครือข่าย
2G(GSM: 2/3/5/8)
3G(WCDMA: 1/2/4/5/6/8/19)
4G(LTE FDD: 1/2/3/4/5/7/8/18/19/20/26/28/66* LTE TDD: 38/40/41/42/48)
5G(NR: n1/2/3/5/7/8/20/28/38/40/41/48/66*/77/78/79)

   ขนาด-น้ำหนัก                   ยาว 161.4 x กว้าง 75.3 x หนา 9.2 มม., น้ำหนัก 219.8 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)  512 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด     -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ      ความจุแบตเตอรี่ 5,000 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ              จอสัมผัส (AMOLED)
   ความละเอียด       6.73 นิ้ว, 522 ppi, 1,440 x 3,200 px
   รายละเอียดอื่น
จอแสดงผล All Around Liquid Display
WQHD+ 6.73" AMOLED
3200 x 1440, 522 ppi
LTPO, AdaptiveSync Pro
อัตรารีเฟรช: ไดนามิกตั้งแต่ 1-120Hz
ความไวตอบสนองการสัมผัส: สูงสุด 240Hz
*ความไวตอบสนองการสัมผัสอาจแตกต่างกันออกไปตามเนื้อหาบนหน้าจอ
ประเภทวัสดุ OLED: แผงจอ C8 ที่ปรับโดย Xiaomi
ความสว่าง: HBM 1000 nits (typ), ความสว่างสูงสุด 3000 nits
หน้าจอ Pro HDR รองรับ UltraHDR
Dolby Vision®
HDR10+
6.8 หมื่นล้านสี
ช่วงสี: DCI-P3
หน้าจอ TrueColor
สีสันที่ปรับอัตโนมัติ
สีดั้งเดิมโปร
โหมดอ่านหนังสือปรับอัตโนมัติ
โหมดแสงอาทิตย์
การหรี่ไฟ DC / การหรี่ไฟ PWM 1920Hz
ได้รับการรับรองแสงสีฟ้าต่ำจาก TÜV Rheinland (ฮาร์ดแวร์โซลูชัน)
ได้รับใบรับรองความไร้ซึ่งแสงกะพริบจาก TÜV Rheinland
ได้รับใบรับรองความเป็นมิตรกับนาฬิกาชีวภาพจาก TÜV Rheinland
Xiaomi Shield Glass

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                   กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (32 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                 -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)            Snapdragon 8 Gen 3
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)   Qualcomm Adreno GPU
   หน่วยความจำ (RAM)              12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก              USB, Bluetooth, NFC, Wi-Fi
   ระบบรับส่งข้อความ                   -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต            3G, WiFi, 4G, 5G


11
mobile expo: เปิดเคล็ดลับทำงานด้วยแท็บเล็ตอย่างไร ให้งานมีประสิทธิภาพที่สุดในยุค WFH กับแท็บเล็ตของหัวเว่ย

แวดวงการทำงานในออฟฟิศหรือนอกออฟฟิศตอนนี้ นอกจากคุณจะต้องเก่งและขยันเป็นพิเศษเพื่อให้มีผลงานเตะตากรรมการแล้ว การมีอุปกรณ์ไอทีคู่ใจอย่างแท็บเล็ตก็จะช่วยให้กระบวนการเคลียร์งานเป็นไปอย่างราบรื่นและเพื่อส่งมอบผลงานระดับคุณภาพถือเป็นตัวช่วยที่จำเป็นเช่นกัน และถ้ายิ่งแท็บเล็ตนั้นสามารถเป็นจอแสดงผลภาพจอที่สองเพื่อให้การทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันสะดวกขึ้น เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สำรองสำหรับใช้ย้ายที่ประชุมออนไลน์ไปมาได้ตลอดเวลา และยังสามารถเป็นสมุดโน้ตอิเล็กทรอนิกส์สุดคูลด้วยแล้วหละก็ชีวิตการทำงานของคุณจะยิ่งสมบูรณ์แบบได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งปกติหากคุณต้องการอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์การทำงานได้ครอบคลุมทุกรูปแบบอย่างที่กล่าวมา อาจจะต้องเหนื่อยหาสารพัดอุปกรณ์ไอทีมาวางจนเกลื่อนเต็มโต๊ะ ข่าวดีก็คือเดี๋ยวนี้เราไม่ต้องเลือกอุปกรณ์ใช้งานแบบแยกหลายชิ้นเพื่อใช้สำหรับการทำงานแต่ละแบบก็ได้

เพราะแบรนด์ไอทีเจ้าใหญ่ๆ เขาออกแบบให้สมาร์ทดีไวซ์เช่นแท็บเล็ตเพียงเครื่องเดียวเมื่อใช้งานพร้อมกับอุปกรณ์เสริมเพียงแค่ไม่กี่ชิ้นก็ใช้ทำงานได้ดีไม่แพ้ PC และยังตอบโจทย์การใช้งานได้ครอบคลุมทุกแนวอย่างเช่น แท็บเล็ต HUAWEI MatePad 11 และปากกา HUAWEI M-Pencil (2nd generation) เป็นสองไอเท็มที่หยิบมาแนะนำกันในครั้งนี้ ส่วนจะมีฟีเจอร์เด็ดอะไรที่ใช้จับคู่กันแล้วช่วยให้ทุกการทำงานไม่ว่าจะเป็นการจดโน้ตการประชุม จัดการไฟล์เอกสาร และใช้งานข้ามดีไวซ์กับแล็ปท็อป เป๊ะปัง ได้ประสิทธิภาพ อย่างใจต้องการ ตามไปดูกัน

จดโน้ตประชุมอย่างครีเอทีฟให้ไวดุจสายฟ้า ด้วยปากกาอัจฉริยะ
สิ่งที่คนทำงานต้องเจอกันเป็นประจำทุกสัปดาห์ก็คือการประชุมงานแบบรัวๆ ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทุกทีมต้องทำระหว่างประชุมก็คือการจดบันทึกประเด็นที่น่าสนใจระหว่างการประชุม หลายคนอาจจะถนัดจดมือลงสมุดโน้ต แต่ก็ต้องมาเสียเวลานั่งแกะลายมือและพิมพ์ลงแล็ปท็อปอีก ปากกาอัจฉริยะสำหรับใช้กับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทดีไวซ์จึงกลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่ตอบโจทย์มากสำหรับการจดโน้ตในยุคนี้ เพราะจะช่วยให้การจดบันทึกเป็นไปอย่างราบรื่น รวดเร็ว อีกทั้งสมาร์ทดีไวซ์บางรุ่นอย่างแท็บเล็ต HUAWEI MatePad 11 ยังรองรับฟีเจอร์พิเศษที่ช่วยแปลงลายมือให้เป็นตัวพิมพ์ได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย

ทำให้เราสามารถเก็บคอมเมนต์และไอเดียเด็ดได้ครบทุกเม็ดจากที่ประชุม ช่วยให้งานออกมาเป๊ะปังตรงโจทย์ หนึ่งในอุปกรณ์เสริมที่จะมาตอบโจทย์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีก็คงหนีไม่พ้นปากกาอัจฉริยะ HUAWEI M-Pencil รุ่น 2 ด้วยจุดเด่นด้านประสบการณ์ใช้งานที่เหมือนกับการใช้ปากกาของจริงมากๆ และฟีเจอร์ล้ำๆ อย่างการแปลงตัวอักษรอัจฉริยะที่รองรับภาษาไทย อังกฤษ จีน โดย HUAWEI M-Pencil (2nd generation) ได้รับการดีไซน์ด้วยหัวปากกาเคลือบทองคำขาว มีค่าความหน่วงต่ำเป็นพิเศษแค่ 2 มิลลิวินาทีเท่านั้น รวมทั้งยังรองรับแรงกดถึง 4,096 ระดับ และมีน้ำหนักเบาแค่ 16 กรัม นอกจากนี้ เมื่อใช้คู่กับแท็บเล็ต HUAWEI MatePad 11 ที่มีอัตราการรีเฟรชหน้าจอสูงก็ยิ่งทำให้การวาดเขียนจดโน้ตไหลลื่นและเพลิดเพลินได้อีกหลายเท่าตัว

เคล็ดไม่ลับในการจดโน้ตสำหรับคนทำงานเก่ง
โน้ต To do list หรือไอเทมสำคัญก่อนการประชุม ? เพื่อจัดการงานและการประชุมในแต่ละวันให้เสร็จเร็วเป็นระเบียบ ไม่มีหลุดก็ต้องโน้ตสิ่งที่ต้องทำล่วงหน้าเอาไว้ให้ครบ แนะว่าให้ใช้ Jnotes ที่ช่วยให้จดโน้ตได้เร็วฉับไว

drag-and-drop ไอเทมในโน้ตได้ ทั้งยังจดจำลายมือผู้ใช้งานได้อีกด้วย หรือหากอยากพิมพ์โน้ตการประชุมก็สามารถเปลี่ยนลายมือให้เป็นตัวพิมพ์และปรับขนาดตัวอักษรได้ด้วย HUAWEI M-Pencil เสริมมู้ดการทำงานด้วยโน้ตสุดสร้างสรรค์

การจดโน้ตเรียบๆ ถือว่า out ไปแล้วในยุคนี้ และเพื่อเป็นการบิ้วต์สปิริตในการทำงาน โน้ตที่จดต้องมีลูกเล่นนิดนึง ลองใช้ Touchnotes ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานดึงภาพหรือข้อความจากเบราว์เซอร์ไปใส่ในโน้ตได้ ทำให้เขียนโน้ตได้สนุกมีชีวิตชีวามากขึ้น พอโน้ตสวยอ่านง่ายก็ถือเป็นการเพิ่มพลังในการทำงานได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย สะบัดปลายปากกา ต่อยอดจินตนาการในการจดโน้ตให้เจ้านายปลื้มลูกค้าแฮปปี้

ในยุคที่ทุกอย่างหมุนไปเร็ว การที่เราสามารถจดโน้ตส่วนตัวและเปลี่ยนโน้ตให้เป็นพรีเซนเทชันขนาดย่อมในเวลาเดียวกัน ถือเป็นการทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและถือเป็นทริคที่ใครๆ ก็ทำได้แค่ใช้ Noteshelf ที่มาพร้อมพู่กันและสีให้เลือกใช้หลากหลายตามความต้องการ สะบัดแปรงได้อย่างใจนึก แค่นี้ก็ช่วยเปิดโลกกว้างให้กับจินตนาการของเราในการดีไซน์โน้ตเด็ดๆ พรีเซนหัวหน้าและลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ จดโน้ตลายมือแบบเร็วๆ ต้องมีตัวช่วย ไม่ต้องมาเหนื่อยแกะลายมือตัวเองทีหลัง

ขึ้นชื่อว่าจดโน้ตแล้วความรีบความเร็วต้องมาควบคู่กันแต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะหากใช้แท็บเล็ตหัวเว่ยก็มี HUAWEI FreeScript ที่ช่วยแปลงลายมือไม่ว่าจะแกะยากขนาดไหนก็เปลี่ยนให้เป็นตัวพิมพ์ได้อย่างเนี้ยบและอัตโนมัติ ทีเด็ดคือนอกจากแกะลายมือได้แล้วยังมีฟีเจอร์ Instant Shape และ Instant Table ช่วยปรับรูปทรงเลขาคณิตรูปทรงต่างๆ และตาราง ที่ร่างออกมาแบบเร็วๆ ให้เป็นรูปทรงมาตรฐานและตารางที่มีความสมมาตร เรียบร้อย ไร้ที่ติ ประหนึ่งวาดด้วยคอมพ์ยังไงอย่างงั้น

งานฉลุย ลุยได้เต็มที่ไม่มีร่วงกับ WPS Office สำหรับมนุษย์ทำงาน
คงไม่มีใครไม่รู้จักซอฟต์แวร์เพื่อการจัดการไฟล์เอกสารอย่าง WPS Office ซึ่งความพิเศษของซอฟต์แวร์ตัวนี้เมื่อใช้งานบนแท็บเล็ต HUAWEI MatePad 11 ก็คือจะมีการทำงานประสานเข้าด้วยกันกับปากกา HUAWEI M-Pencil ทำให้ทำงาน จัดการเอกสารในรูปแบบต่างๆ ได้รวดเร็ว คล่องตัว เหนือระดับ เพียงปลายปากกาสัมผัส เช่น เมื่อต้องทำพรีเซนเทชันเสนอไอเดียนายและลูกค้า ก็สามารถเติมแต่งลูกเล่นและความน่าสนใจลงไปได้ด้วยการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Drawing board และวาดเขียนประเด็นสำคัญต่างๆ อย่างครีเอทีฟลงไปได้อย่างอิสระ โดยเมื่อวาดเขียนตกแต่งเสร็จแล้วก็สามารถเพิ่มสิ่งนี้ลงไปในพรีเซนเทชันเป็นไฟล์ภาพได้อย่างโปรสุดๆ โดยไม่ต้องเข้าแอปพลิเคชันแต่งภาพให้วุ่นวายเลย

เกร็ดความรู้ ทำงาน จัดการงานให้เสร็จเร็วและได้คุณภาพ
เมื่อต้องเจอกับงานด่วนจี๋ทั้งยังมีงานอยู่ในมือซะล้นจนแทบจะจัดการไม่ทันก็ต้องงัดเอาวิชาทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันมาใช้ถึงจะรอด ซึ่งหากมีผู้ช่วยเป็นฟีเจอร์ดีๆ อย่าง App Multiplier ของหัวเว่ยก็สบายหายห่วงแน่นอนเพราะฟีเจอร์นี้ ช่วยให้ผู้ใช้งานเปิดหน้าต่างได้สูงสุด 4 หน้าต่างในแอปพลิเคชันเดียว ซึ่งนี่ก็ทำให้เปิดใช้งานไฟล์ WPS ได้จุกๆ ถึง 4 เอกสารใน 1 ครั้ง อีกทั้งยัง copy-paste คอนเทนต์ไปมาระหว่าง 4 เอกสารได้อีกด้วย พรีเซนงานได้อย่างมือโปรแค่ใช้ดีไวซ์ให้เป็น

เมื่อถึงเวลาที่ต้องพรีเซนงานนอกจากข้อมูลซัพพอร์ตจะต้องแม่นแล้ว ตัวช่วยที่ทำให้พรีเซนงานได้อย่างโดดเด่นแบบมือโปรอย่างแท็บเล็ตและปากกาอิเล็กทรอนิกส์ก็ต้องใช้ให้เต็มศักยภาพ เช่น เราสามารถฉายเอกสาร WPS ที่จะพรีเซนจากแท็บเล็ตอย่าง HUAWEI MatePad 11 ไปที่จอได้โดยตรง โดยบนหน้าจอแท็บเล็ตก็สามารถโชว์สคริปต์ให้เราได้ดูโดยไม่ต้องถือโน้ตกระดาษให้รุงรัง อีกทั้งแท็บเล็ตยังทำงานเสมือนรีโมทคอนโทรลให้เราไฮไลต์หรือทำตัวหนาให้กับข้อความต่างๆ บนพรีเซนเทชันขณะพรีเซนงานได้อีกด้วย ลืมภาพการพรีเซนงานแบบเก่าๆ ไปได้เลย
เบิ้ลมุมมองการมองเห็นด้วยการเปิดสองจอคู่กัน ไม่หวั่นแม้งานจะถาโถม
หนึ่งในฟอร์แมตโต๊ะทำงานยอดฮิตของคนทำงานรุ่นใหม่ก็คือการใช้จอแสดงผลสองหน้าจอไปพร้อมกันให้ทำงานได้สะดวกคล่องตัวมากขึ้น อย่างการตอบอีเมลหรือเขียนงานไปพร้อมกันในทีเดียว ใช้เปิดเทียบไฟล์งานพร้อมกันสองไฟล์ตอนตรวจหรือแปลงาน เรียกได้ว่าการมีจอมอนิเตอร์สองจอถือเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้สำหรับคนทำงานรุ่นใหม่สายไฮเทคไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม การมีหน้าจอที่สองไม่ได้หมายถึงแค่จอมอนิเตอร์ตั้งโต๊ะเพียงอย่างเดียว เพราะเดี๋ยวนี้ แท็บเล็ตได้กลายมาเป็นจอเสริมไร้สายในการทำงานของคนรุ่นใหม่กันแล้ว

ล่าสุดก็คือแท็บเล็ต HUAWEI MatePad 11 ที่มาพร้อมกับ Extend Mode ในฟีเจอร์เอาใจคนทำงานอย่าง "Multi-Screen Collaboration" ซึ่งจะเปลี่ยนแท็บเล็ตให้เป็นหน้าจอมอนิเตอร์จอที่สองสำหรับเครื่องพีซีผ่านฟีเจอร์ Huawei Share ได้อย่างง่ายดายแถมไม่ต้องต่อสายให้ปวดหัว โดยยังมีโหมดอื่นๆ ที่ช่วยให้ทำงานได้สะดวกราบรื่นได้แก่ Mirror Mode ที่สะท้อนการแสดงผลจากหน้าจอพีซีไปที่หน้าจอแท็บเล็ต ทั้งหมดนี้ จะช่วยให้คุณใช้งานแท็บเล็ตและสมาร์ทดีไวซ์อื่นๆ แบบผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ที่สำคัญแท็บเล็ต HUAWEI MatePad 11 ยังมีหน้าจอแบบ HUAWEI FullView Display ขนาดใหญ่ถึง 10.95 นิ้ว ที่ให้อัตรารีเฟรชหน้าจอสูงถึง 120 Hz ช่วยให้คุณเลื่อนดูไฟล์งานหรือเว็บไซต์ต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล นุ่มนวล ไร้สะดุดในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน (เผลอๆ อาจจะลื่นไหลกว่าหน้าจอหลักของพีซีด้วยซ้ำ) และยังได้รับมาตรฐานด้านการลดการปล่อยแสงสีฟ้าและการกระพริบของหน้าจอจาก TV Rheinland ที่ช่วยให้คุณได้ประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหลและสบายตาไปพร้อมๆ กัน

ใครที่สนใจใช้ Huawei MatePad 11 เป็นแท็บเล็ตสำหรับใช้ทำงานอยู่บ้าน มีโปรโมชั่นและราคามาแนะนำกันในช่วงท้าย
โดยเมื่อซื้อ HUAWEI MatePad 11 ในราคาเริ่มต้นที่ 15,990 บาท ไม่ว่าจะเป็นสี Matte Grey หรือ Isle Blue ผ่าน HUAWEI Store, HUAWEI Experience Store, ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ หรือร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยบนแพลตฟอร์ม E-Commerce อย่าง JD Central, Lazada และ Shopee ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2564 ? 31 สิงหาคม 2564 รับทันทีของสมนาคุณพิเศษ ได้แก่ HUAWEI Smart Magnetic Keyboard, HUAWEI Freelace Pro, HUAWEI Cloud, HUAWEI Video VIP, WPS VIP และ FilmoraGo HD VIP มูลค่ารวมสูงสุด 9,172 บาท!
HUAWEI MatePad 11 หน่วยความจำ 6GB + 128GB (รุ่น WiFi) สี Matte Grey พร้อม HUAWEI M-Pencil (2nd generation) บรรจุภายในกล่อง ในราคา 19,990 บาท รับของสมนาคุณสุดคุ้มเป็น HUAWEI Smart Magnetic Keyboard, HUAWEI FreeLace Pro, สิทธิพิเศษจากแอปฯ ต่างๆ ได้แก่ HUAWEI Cloud 1 เดือน (50GB), HUAWEI Video VIP 1 เดือน, WPS Office VIP 3 เดือน และ FilmoraGo HD VIP 3 เดือน มูลค่ารวม 9,172 บาท*
HUAWEI MatePad 11 หน่วยความจำ 6GB + 128GB (รุ่น WiFi) สีใหม่ Isle Blue ราคาเพียง 15,990 บาท รับของสมนาคุณจัดเต็มตั้งแต่ HUAWEI Smart Magnetic Keyboard พร้อมสิทธิพิเศษจากแอปฯ ต่างๆ ได้แก่ HUAWEI Cloud 1 เดือน (50GB), HUAWEI Video VIP 1 เดือน, WPS Office VIP 3 เดือน และ FilmoraGo HD VIP 3 เดือน มูลค่ารวม 6,173 บาท*

12
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmia)

ปกติ หัวใจของคนเรา (ชีพจร) จะเต้นประมาณ 60-100 ครั้ง/นาที (ส่วนใหญ่ 72-80 ครั้ง/นาที) จังหวะสม่ำเสมอ และแรงเท่ากันทุกครั้ง

ภายหลังการออกกำลังกาย ตื่นเต้นตกใจ ดื่มชากาแฟ เครื่องดื่มเข้ากาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ กินยากระตุ้น (เช่น ยาแก้หืด ยาแก้หวัด หรือสูโดเอฟีดรีน แอมเฟตามีน ยาลดความอ้วน) หรือเป็นไข้ ชีพจรอาจเต้นเร็ว (> 100 ครั้ง/นาที) ได้ ซึ่งถือว่าเป็นภาวะปกติธรรมดา นอกจากนี้ผู้ที่มีภาวะช็อกก็มักมีชีพจรเต้นเร็วแต่เบา

ผู้ที่ออกกำลังสม่ำเสมอ ชีพจรอาจเต้นช้า (< 60 ครั้ง/นาที) ได้ แสดงว่าร่างกายอยู่ในภาวะแข็งแรง (ฟิต) เต็มที่

แต่ในผู้ที่มีความผิดปกติของหัวใจก็อาจมีชีพจรผิดปกติ เช่น เต้นช้าไป เร็วไป หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ หรือไม่เป็นจังหวะ จึงเรียกรวม ๆ ว่า โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจแสดงอาการได้หลายอย่างด้วยกัน

สาเหตุ

ถ้าหัวใจเต้นช้ากว่า 50 ครั้ง/นาที เรียกว่า หัวใจเต้นช้า (bradycardia) อาจพบเป็นปกติในนักกีฬาหรือคนที่ร่างกายฟิต อาจเกิดจากภาวะกระตุ้นประสาทเวกัส (vagus) ซึ่งทำให้ชีพจรเต้นช้า เช่น อาการเจ็บปวด หิวข้าว ร่างกายเหนื่อยล้า การกลืน อาการอาเจียนหรือท้องเดิน เป็นต้น อาจพบเป็นภาวะผิดปกติในผู้ที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด หรืออาจเกิดจากพิษของยา (เช่น ไดจอกซิน ยาปิดกั้นบีตา ยาอนุพันธ์ฝิ่น ยานอนหลับ ยาฆ่าแมลงออร์แกโนฟอสเฟต) พิษปลาปักเป้า พิษคางคก ภาวะตัวเย็นเกิน

ถ้าหัวใจเต้นเร็วกว่า 120 ครั้ง/นาที จังหวะอาจปกติหรืออาจไม่สม่ำเสมอและแรงไม่เท่ากัน* อาจพบในผู้ที่เป็นโรคหัวใจรูมาติก โรคหัวใจขาดเลือด ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน  พิษยาไดจอกซิน

ถ้าหัวใจเต้นอยู่ในเกณฑ์ปกติ (60-100 ครั้ง/นาที) แต่มีบางจังหวะที่เต้นรัว** หรือวูบหายไป*** ก็อาจพบเป็นปกติในคนบางคน แต่ก็อาจพบในคนที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจรูมาติก หรือเกิดจากบุหรี่ ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ ยากระตุ้น หรือเกิดจากพิษของยา (เช่น ไดจอกซิน)

*หัวใจเต้นเร็ว (tachycardia) มีภาวะที่พบบ่อย ได้แก่

- ภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว (atrial fibrillation/AF) มักมีชีพจรเต้น > 120 ครั้ง/นาที (อาจพบระหว่าง 80-180 ครั้ง/นาที) จังหวะไม่สม่ำเสมอ พบบ่อยในผู้ที่มีอายุมาก อาจมีสาเหตุจากโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจรูมาติก หัวใจอักเสบ (carditis) กล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy) หัวใจวาย ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน เนื้องอกต่อมหมวกไต-ฟีโอโครโมไซโตมา ภาวะพิษแอลกอฮอล์ (alcohol intoxication) สิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอด (pulmonary embolism)

- ภาวะหัวใจห้องบนเต้นเร็วชนิดโรคกลับฉับพลัน (paroxysmal atrial tachycardia/PAT) ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นโดยไม่มีความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ ส่วนน้อยอาจเกิดจากโรคหัวใจขาดเลือด หรือพิษยาไดจอกซิน มักมีชีพจรเต้น 160-220 ครั้ง/นาที และเต้นสม่ำเสมอโดยเกิดขึ้นฉับพลัน และหายฉับพลัน นานครั้งละไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมง มีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาทำงานหนักหรือออกกำลังหักโหม ผู้ป่วยจะมีอาการใจสั่นอย่างมาก อ่อนเพลีย ศีรษะโหวง ๆ เหนื่อยหอบ เจ็บหน้าอก ส่วนใหญ่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และอาการหัวใจเต้นเร็วจะทุเลาไปได้เอง มักทำให้ผู้ป่วยและญาติตกใจและไม่สุขสบายขณะมีอาการ และอาจทำให้แพทย์เข้าใจผิดว่าเป็นโรควิตกกังวลเนื่องจากเมื่อผู้ป่วยมาพบแพทย์มักจะเป็นช่วงอาการสงบแล้ว ซึ่งจะตรวจไม่พบอาการผิดปกติใดๆ

**หัวใจห้องบนเต้นก่อนกำหนด(atrial premature contraction/APC หรือ premature atrial contraction/PAC)

ทำให้การเต้นของหัวใจบางจังหวะเร็วกว่าปกติ คลำได้ชีพจรเต้นรัวติดกัน 2 จังหวะ มักพบในผู้สูงอายุที่สุขภาพแข็งแรงดี ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดง (นอกจากตรวจพบจากการคลำชีพจรหรือฟังเสียงหัวใจ) ยาหรือสารกระตุ้น เช่น กาเฟอีน บุหรี่ แอลกอฮอล์ ยาสูโดเอฟีดรีน ยาแก้หืด ยาลดความอ้วน อาจทำให้อาการกำเริบมากขึ้น น้อยรายที่พบว่ามีความสัมพันธ์กับภาวะความดันในปอดสูง (pulmonary hypertension) จากโรคทางปอดหรือหัวใจ

***หัวใจห้องล่างเต้นก่อนกำหนด (ventricular premature contraction/VPC หรือ premature ventricular contraction/PVC) ทำให้การเต้นของหัวใจ (ชีพจร) วูบหายหรือเว้นวรรคไปเป็นบางจังหวะ มักพบในผู้สูงอายุ อาจเกิดจากความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ ยาหรือสารกระตุ้น หรืออาจพบร่วมกับโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ภาวะหัวใจวาย หรือโรคลิ้นหัวใจพิการ ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการและไม่มีอันตรายร้ายแรง ยกเว้นถ้าพบร่วมกับโรคหัวใจ


อาการ

ในรายที่เป็นไม่รุนแรง มักไม่รู้สึกว่ามีอาการผิดปกติแต่อย่างใด บางรายอาจเพียงรู้สึกใจเต้นรัวหรือใจวูบหายไปบางจังหวะ โดยไม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย และยังสามารถทำงานได้ตามปกติ

ในรายที่ชีพจรเต้นช้ามาก อาจมีอาการอ่อนเพลีย สับสน เวียนศีรษะ เป็นลม

ในรายที่ชีพจรเต้นเร็วมาก อาจมีอาการอ่อนเพลีย ใจสั่น หอบเหนื่อย เจ็บแน่นหน้าอก เวียนศีรษะ ศีรษะโหวง ๆ เป็นลม

นอกจากนี้ อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น เจ็บหน้าอกในโรคหัวใจขาดเลือด มือสั่น เหงื่อออก น้ำหนักลด ในภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน


ภาวะแทรกซ้อน

มักไม่พบภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่แข็งแรงและไม่มีโรคหัวใจร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อนมักเกิดในผู้ป่วยที่มีชีพจรเต้นช้าหรือเร็วมากและต่อเนื่องนาน ๆ เช่น หัวใจวาย ความดันโลหิตตก เป็นลม

ในรายที่หัวใจเต้นช้ามาก ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากทางเดินประจุไฟฟ้าหัวใจติดขัด (heart block) เช่น ผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตาย ก็อาจขาดเลือดไปเลี้ยงสมองทำให้หมดสติและชักได้

ที่สำคัญในรายที่มีภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว (ชีพจร 80-180 ครั้ง/นาที จังหวะไม่สม่ำเสมอและชีพจรแรงบ้างค่อยบ้าง) อาจเกิดลิ่มเลือดในหัวใจแล้วหลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดต่าง ๆ รวมทั้งหลอดเลือดสมอง ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีกแทรกซ้อนได้ ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากให้การรักษาภาวะนี้จนการเต้นของหัวใจกลับเป็นปกติ ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง (อ่านเพิ่มเติมที่ โรคหลอดเลือดสมอง สมองขาดเลือดชั่วขณะ อัมพาตครึ่งซีก) มากกว่าคนทั่วไป 5-8 เท่า

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในรายที่เป็นไม่รุนแรง (มีสาเหตุจากหัวใจห้องบนหรือห้องล่างเต้นก่อนกำหนด) อัตราการเต้นของชีพจรมักจะอยู่ในเกณฑ์ปกติคือ 60-100 ครั้ง/นาที แต่จะพบว่ามีบางจังหวะที่เต้นรัวหรือวูบหาย อาจพบ 1-2 ครั้ง/นาที ถ้าเป็นมากก็อาจพบได้ถี่กว่านี้

ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นช้า มักจะพบชีพจรเต้น < 50 ครั้ง/นาที ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นเร็วจะพบชีพจรเต้น > 120 ครั้ง/นาที จังหวะอาจเป็นปกติหรืออาจเต้นไม่สม่ำเสมอ ไม่เป็นจังหวะ ชีพจรแรงบ้างค่อยบ้าง ฟังเสียงหัวใจอาจพบเสียงดังไม่เท่ากันและไม่เป็นจังหวะ อาจพบความดันโลหิตต่ำ บางครั้งอาจตรวจพบอาการของโรคที่เป็นสาเหตุหรือภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน หัวใจมีเสียงฟู่ในโรคหัวใจรูมาติก เท้าบวม และฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบในภาวะหัวใจวาย แขนขาอ่อนแรงซีกหนึ่งในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดสมองแทรกซ้อน เป็นต้น

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์ ตรวจเลือด และตรวจพิเศษอื่น ๆ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่อัตราชีพจรอยู่ในเกณฑ์ปกติ (60-100 ครั้ง/นาที) เพียงแต่ตรวจพบว่าชีพจรเต้นรัวหรือวูบหายเป็นบางจังหวะ และผู้ป่วยรู้สึกสบายดี น่าจะเกิดจากภาวะหัวใจห้องบนหรือห้องล่างเต้นก่อนกำหนด ก็ไม่ต้องให้ยารักษา เพียงแต่แนะนำให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด หลีกเลี่ยงยาและสารกระตุ้น (งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ กาเฟอีน ยาแก้หืด ยาแก้หวัด ยาลดความอ้วน เป็นต้น)

แต่ถ้ามีอาการชีพจรเต้นรัวหรือวูบหายแบบถี่ ๆ นาทีละหลายครั้ง หรือชีพจรเต้นจังหวะไม่สม่ำเสมอและแรงไม่เท่ากันตลอด (อาจเป็นภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว โดยมีอัตราชีพจร < 100 ครั้ง/นาที ก็ได้) หรือมีอาการเจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หรือฟังหัวใจได้ยินเสียงฟู่ แพทย์ก็จะทำการตรวจหาสาเหตุ

สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจห้องล่างเต้นก่อนกำหนด อาจพบว่ามีโรคหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย หรือลิ้นหัวใจพิการร่วมด้วย ถ้าตรวจพบ แพทย์ก็จะทำการรักษาโรคเหล่านี้ ในรายที่มีโรคลิ้นหัวใจพิการ (ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วและอาจทำให้เสียชีวิตฉับพลันได้) แพทย์จะให้ยาปิดกั้นบีตา เช่น โพรพราโนลอลกินควบคุมอาการ

2. ในรายที่ชีพจร < 50 ครั้ง/นาที หรือ > 120 ครั้ง/นาที หรือชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ และแรงไม่เท่ากันตลอด ถ้าพบว่าผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกมาก หายใจหอบเหนื่อย แขนขาอ่อนแรงข้างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันเป็นลมหมดสติ หรือชัก แพทย์จะรีบแก้ไขภาวะแทรกซ้อนและให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจรูมาติก พิษจากยา (เช่น ไดจอกซิน) พร้อมทั้งให้การรักษาเพื่อควบคุมการเต้นของหัวใจให้กลับเป็นปกติ ดังนี้

    ในรายที่มีภาวะหัวใจเต้นช้า แพทย์อาจให้ยากระตุ้น ได้แก่ อะโทรพีน ถ้าไม่ได้ผลหรือเป็นรุนแรง อาจจำเป็นต้องผ่าตัดใส่ตัวคุมจังหวะหัวใจ (cardiac pacemaker) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ผลิตประจุไฟฟ้ากระตุ้นการเต้นของหัวใจ
    ในรายที่มีภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว จะต้องรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ถ้ามีภาวะฉุกเฉินรุนแรงก็รีบให้การแก้ไข และพิจารณาให้การรักษาเพื่อควบคุมการเต้นของหัวใจให้กลับเป็นปกติ (cardioversion) โดยการใช้เครื่องช็อกหัวใจ (defibrillator) หรือการใช้ยา ร่วมกับการให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น เฮพาริน วาร์ฟาริน) ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้วิธีการรักษาและให้ยาตามระยะของโรคที่เป็น และความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง

หลังจากนั้นแพทย์จะให้ยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะ (antiarrhythmic) และสารกันเลือดเป็นลิ่ม (โดยให้กินวาร์ฟารินในรายที่มีความเสี่ยงสูงหรือแอสไพรินในรายที่มีความเสี่ยงต่ำ) อย่างต่อเนื่อง
 

บางรายแพทย์อาจให้การรักษาด้วยวิธีตัดปมประจุไฟฟ้าเอวี (atrioventricular/AV node ablation) โดยการแยงสายอิเล็กโทรดเข้าไปสร้างความร้อนทำลายเนื้อเยื่อ (catheter radiofrequency ablation) และถ้าการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ได้ผล ก็จะทำการผ่าตัดเนื้อเยื่อหัวใจส่วนที่เป็นต้นตอของโรค

    ในรายที่มีภาวะหัวใจห้องบนเต้นเร็วชนิดโรคกลับฉับพลัน (PAT) แพทย์จะให้ยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะควบคุมอาการ เช่น ยาปิดกั้นบีตา ผู้ป่วยส่วนน้อยที่ใช้ยาไม่ได้ผล อาจต้องทำการรักษาด้วยเครื่องช็อกหัวใจ หรือตัดปมประจุไฟฟ้าเอวีด้วยการใส่สายอิเล็กโทรด

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น  มีอาการหัวใจเต้นรัว เต้นเร็ว หรือช้ากว่าปกติ  เต้นจังหวะไม่สม่ำเสมอ หรือมีจังหวะเต้นกระตุก หรือวูบหายเป็นบางจังหวะ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ควรดูแลรักษา ดังนี้

1. ดูแลรักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 

2. ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

3. ควรปฏิบัติตัว ดังนี้

    งดการบริโภคสุรา ยาสูบ ชา  กาแฟ
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    หลีกเลี่ยงการทำงานหรือการออกกำลังที่หักโหม
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง เพราะอาจมีผลทำให้โรคกำเริบ

4. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการเจ็บจุกหน้าอกกำเริบ หรือ รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือเท้าบวม
    มีอาการจุกแน่นลิ้นปี่คล้ายโรคกระเพาะ และกินยารักษาโรคกระเพาะไม่ทุเลา
    กินยาแล้วไม่ทุเลา หรือ กลับมีอาการกำเริบใหม่
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

อาจป้องกันโรคนี้ด้วยการปฏิบัติตัว ดังนี้

    หาทางป้องกันไมให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด
    ออกกำลังกายเป็นประจำ
    ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หลีกเลี่ยงการบริโภคสุรา ยาสูบ ชา กาแฟ สารกระตุ้นหัวใจ
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด

ข้อแนะนำ

ผู้ป่วยที่บ่นว่ามีอาการใจสั่น ใจหวิว อาจเกิดจากโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือสาเหตุอื่น ๆ แพทย์จะซักถามอาการ ตรวจชีพจร (ควรจับชีพจรนาน 1-2 นาที เป็นอย่างน้อย) และใช้เครื่องฟังตรวจหัวใจ ถ้าชีพจรช้าหรือเร็วกว่าปกติหรือไม่สม่ำเสมอ ก็แสดงว่าเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะจริง ถ้าชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที และเต้นปกติ อาจเกิดจากโรควิตกกังวล หรือโรคแพนิก สาเหตุของอาการใจสั่น (ตรวจอาการใจสั่น)

13
หมอออนไลน์: โรคหลอดเลือดสมอง/สโตรก (Stroke/Cerebrovascular accident/CVA)

โรคหลอดเลือดสมอง/อัมพาตครึ่งซีก* จัดว่าเป็นโรคที่พบได้บ่อยในบ้านเราขณะนี้ มักพบในวัยกลางคนขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ และเป็นได้ทั้งหญิงและชาย

โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงในสมอง กล่าวคืออาจมีการตีบ ตัน หรือแตกของหลอดเลือดเหล่านี้ ทำให้เนื้อสมองบางส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายตายไปและหยุดสั่งงาน จึงทำให้เกิดอาการอัมพาตของร่างกายส่วนนั้น ๆ ขึ้น

อาการมักจะเกิดขึ้นฉับพลันทันที เรียกว่า โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน สโตรก (stroke) โรคลมอัมพาต หรือ โรคลมปัจจุบัน

*อัมพาต (paralysis) หมายถึง อาการอ่อนแรงของแขนขาหรืออวัยวะภายนอกอื่น ๆ (เช่น ใบหน้า ตา ปาก) ทำให้ร่างกายส่วนนั้นเคลื่อนไหวไม่ได้หรือได้น้อยกว่าปกติ โดยอาจมีอาการชา (ไม่รู้สึกเจ็บ) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้

ถ้าขาทั้ง 2 ข้างมีอาการอ่อนแรง หรือขยับเขยื้อนไม่ได้ เรียกว่า อัมพาตครึ่งล่าง (paraplegia) ถ้าแขนขาทั้ง 4 ขยับเขยื้อนไม่ได้ เรียกว่า อัมพาตหมดทั้งแขนขา (quadriplegia) อัมพาตทั้ง 2 ลักษณะนี้มักมีสาเหตุจากโรคของไขสันหลัง (ไขสันหลังอักเสบเฉียบพลัน, ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ, เนื้องอกไขสันหลัง)

แต่ถ้าแขนขาเพียงซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง หรือขยับเขยื้อนไม่ได้ เรียกว่า อัมพาตครึ่งซีก (hemiplegia) ซึ่งเป็นเรื่องที่จะกล่าวถึงในที่นี้

ส่วนอาการอัมพาตชนิดต่าง ๆ สามารถตรวจอาการได้ที่ “อัมพาต/แขนขาอ่อนแรง/หนังตาตก”

สาเหตุ

โรคนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ซึ่งมีอาการแสดง ความรุนแรง และวิธีการรักษาที่ต่างกัน ดังนี้

1. สมองขาดเลือดจากการอุดตัน (ischemic stroke) พบได้ประมาณร้อยละ 80 ของโรคหลอดเลือดสมอง แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย ได้แก่

(1) หลอดเลือดสมองตีบ (cerebral thrombosis/thrombotic stroke) เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบจากการสะสมของไขมันที่ผนังด้านในของหลอดเลือด* ซึ่งจะค่อย ๆ พอกหนาตัวขึ้นทีละน้อยจนเกิดการตีบตันของหลอดเลือด หรือเกิดจากการมีลิ่มเลือด (thrombosis) ในหลอดเลือดขยายตัวจนอุดตันหลอดเลือด ทำให้เซลล์สมองขาดเลือดไปเลี้ยง ซึ่งหากแก้ไขไม่ทัน เซลล์สมองเกิดการตาย จะทำให้กล้ามเนื้อแขนขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตอย่างถาวร

โรคนี้มักพบในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติสูบบุหรี่ ซึ่งมีโอกาสเกิดภาวะนี้ได้ก่อนวัยสูงอายุ เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มักมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งเร็วกว่าปกติ

นอกจากนี้ ผู้ที่มีอายุมาก (≥ 55 ปีในผู้ชาย และ 65 ปีในผู้หญิง) ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสูบบุหรี่ร่วมด้วย) คนอ้วนหรือมีภาวะน้ำหนักเกิน ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นอัมพาตครึ่งซีกก็อาจมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าปกติ

ภาวะหลอดเลือดสมองตีบตันเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาตครึ่งซีกที่พบได้บ่อยกว่าสาเหตุอื่น ๆ และมีอันตรายน้อยกว่าหลอดเลือดสมองแตก

ภาวะสมองขาดเลือดจากการอุดตัน นอกจากเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงในสมองแล้ว ยังพบว่าประมาณร้อยละ 10-15 ของผู้ป่วยสโตรกเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงที่คอหรือหลอดเลือดคาโรติด (carotid artery) ซึ่งทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง

(2) ภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง (cerebral embolism/embolic stroke) เนื่องจากมี "สิ่งหลุด" ซึ่งเป็นลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดที่อยู่นอกสมอง (ที่พบบ่อยคือ ลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดแดงที่คอและหัวใจ) หลุดลอยตามกระแสเลือดขึ้นไปอุดตันในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้เซลล์สมองตายเพราะขาดเลือด มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงที่คอตีบ (carotid artery disease) และโรคหัวใจ (เช่น โรคหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว หรือ atrial fibrillation, โรคหัวใจรูมาติก, กล้ามเนื้อหัวใจตาย, โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด, เยื่อบุหัวใจอักเสบ, โรคลิ้นหัวใจพิการ, ผู้ป่วยที่ผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม เป็นต้น) นอกจากนี้ยังอาจพบในผู้ป่วยที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงมาก (polycythemia), ผู้ป่วยที่มีไขกระดูกหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง (ซึ่งพบในผู้ป่วยที่กระดูกหัก)

2. หลอดเลือดสมองแตก/เลือดออกในสมอง (cerebral hemorrhage/hemorrhagic stroke) ทำให้เนื้อสมองโดยรอบตาย พบได้ประมาณร้อยละ 20 ของโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (สโตรก) ถือเป็นภาวะร้ายแรง อาจทำให้ผู้ป่วยตายได้ในเวลารวดเร็ว มีอัตราตายโดยเฉลี่ยร้อยละ 40-50

ถ้าพบในผู้สูงอายุมักมีสาเหตุจากโรคความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ ยังอาจมีสาเหตุจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงที่เป็นมาแต่กำเนิด เช่น หลอดเลือดโป่งพอง (congenital aneurysm) หลอดเลือดฝอยผิดปกติ (arteriovenous malformation/AVM) เป็นต้น หลอดเลือดผิดปกติเหล่านี้มักจะแตกและทำให้เกิดอาการอัมพาตเมื่อผู้ป่วยอยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน

บางรายอาจมีสาเหตุจากภาวะการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง (เช่น ตับแข็ง มะเร็งเม็ดเลือดขาว ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ โรคเลือดบางชนิด เป็นต้น) การได้รับยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) สารกันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน) หรือยาเสพติด (แอมเฟตามีน โคเคน) การดื่มแอลกอฮอล์จัด เนื้องอกสมองที่มีภาวะเลือดออก การบาดเจ็บที่ศีรษะ (ดูเพิ่มเติมใน "ภาวะศีรษะได้รับบาดเจ็บ เลือดออกในสมอง") เป็นต้น

*ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) เกิดจากการมีไขมันสะสมที่ผนังด้านในของหลอดเลือดแดงเป็นแผ่น เรียกว่า “แผ่นคราบไขมัน (atherosclerotic plaque)” หรือ “ตะกรันท่อเลือดแดง (atheroma)” ซึ่งประกอบด้วยไขมัน คอเลสเตอรอล และสารอื่น เช่น แคลเซียม เนื้อเยื่อเส้นใย เม็ดเลือดขาว-มาโครฟาจ (macrophage)

เมื่อแผ่นคราบหรือตะกรันดังกล่าวหนาตัวขึ้น ทำให้หลอดเลือดมีรูที่ตีบแคบ เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ (เช่น หัวใจ สมอง ไต แขนขา) น้อยลง อวัยวะนั้น ๆ เกิดภาวะขาดเลือด ทำให้เซลล์ของอวัยวะนั้นตายหรืออวัยวะนั้นเสื่อมได้ เช่น ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (แขนขา) ตีบ ไตวายเรื้อรัง เป็นต้น     

นอกจากนี้ แผ่นคราบไขมันอาจมีความเปราะและแตกได้ ทำให้มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นตรงรอยแตกของแผ่นคราบ เกิดการอุดตันหลอดเลือดโดยตรง หรือหลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดแขนงที่มีขนาดเล็กกว่า ขณะเดียวกัน อาจมีเศษของแผ่นคราบที่แตกหลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดแขนงเล็กได้เช่นกัน เช่น แผ่นคราบหรือลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดคาโรติด (หลอดเลือดแดงที่คอ ซึ่งมีขนาดใหญ่) หลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดขนาดเล็กในสมอง ทำให้เกิดโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ (TIA) หรือโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (สโตรก) ได้

อาการ

1. ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเนื่องจากหลอดเลือดสมองตีบ ส่วนใหญ่มักจะมีอาการแขนขาซีกหนึ่งอ่อนแรงลงทันทีทันใด ผู้ป่วยอาจสังเกตพบอาการแขนขาข้างหนึ่งอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตขณะตื่นนอน หรือขณะเดินหรือทำงานอยู่ก็รู้สึกทรุดล้มลงไป ผู้ป่วยอาจจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยก็ได้ เช่น อาการชาตามแขนขา ตามัว เห็นภาพซ้อน หนังตาตก ปากเบี้ยว (เวลายิ้มกว้างเห็นมีมุมปากตกข้างหนึ่ง) พูดไม่ได้ หรือพูดอ้อแอ้ หรือกลืนไม่ได้

บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน หรือมีความรู้สึกสับสนนำมาก่อนที่จะมีอาการอัมพาต

ผู้ป่วยมักจะมีอาการแขนขาชาหรืออ่อนแรงเพียงข้างใดข้างหนึ่ง (อัมพาตครึ่งซีก) เท่านั้น กล่าวคือ ถ้าการตีบตันของหลอดเลือดเกิดขึ้นในสมองข้างซ้าย ก็จะมีอาการอัมพาตที่ซีกขวา (ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตซีกขวาอาจพูดไม่ได้ เพราะศูนย์ควบคุมการพูดอยู่ในสมองข้างซ้าย) ถ้าเกิดขึ้นในสมองข้างขวาก็จะเกิดอาการอัมพาตที่ซีกซ้าย

ผู้ป่วยส่วนมากจะรู้สึกตัวดี หรืออาจจะซึมลงเล็กน้อย ยกเว้นในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีอาการหมดสติร่วมด้วย

อาการอัมพาตมักจะเป็นอยู่นานกว่า 24 ชั่วโมงขึ้นไป และจะเป็นอยู่นานเป็นแรมเดือนแรมปี หรือตลอดชีวิต

ผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการแขนขาซีกหนึ่งชาและอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ ตามัว หรือเวียนศีรษะ บ้านหมุน ซึ่งมักจะเป็นนานประมาณ 2-30 นาที (น้อยรายที่อาจนานเป็นชั่วโมง เต็มที่จะไม่เกิน 24 ชั่วโมง) แล้วหายเป็นปกติได้เอง เรียกว่า โรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ หรือทีไอเอ (TIA ซึ่งย่อมาจาก transient ischemic attack)*

2. ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง จะมีอาการคล้ายในข้อ 1 แต่อาการอัมพาตมักเกิดขึ้นฉับพลันทันที อาจมีประวัติเป็นโรคหัวใจ ผ่าตัดหัวใจ หรือกระดูกหักมาก่อน

3. ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเนื่องจากหลอดเลือดสมองแตก อาการมักเกิดขึ้นทันทีทันใดโดยไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า บางรายอาจเกิดอาการขณะทำงานออกแรงมาก ๆ หรือขณะร่วมเพศ ผู้ป่วยอาจบ่นปวดศีรษะรุนแรงหรือปวดศีรษะซีกเดียวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย แล้วก็มีอาการปากเบี้ยว พูดไม่ได้ แขนขาค่อย ๆ อ่อนแรง อาจชักและหมดสติในเวลารวดเร็ว

ถ้าตกเลือดรุนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการหมดสติ ตัวเกร็ง รูม่านตาหดเล็กทั้ง 2 ข้าง ซึ่งมักจะตายใน 1-2 วัน

ถ้าตกเลือดไม่รุนแรง ก็อาจมีโอกาสฟื้นและค่อย ๆ ดีขึ้น หรือถ้าได้รับการผ่าตัดได้ทันท่วงทีก็อาจช่วยให้รอดได้

ในกรณีที่เกิดจากการแตกของหลอดเลือดโป่งพอง (aneurysm) หรือหลอดเลือดฝอยผิดปกติ (AVM) ซึ่งมักพบในช่วงอายุ 25-50 ปี อาจมีเลือดรั่วซึมเล็กน้อยนำมาก่อน โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะอย่างต่อเนื่อง อาจมีอาการปวดใบหน้าและเห็นภาพซ้อนร่วมด้วยนานเป็นนาที ๆ ถึงเป็นสัปดาห์ เมื่อหลอดเลือดแตกจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงฉับพลันและหมดสติ อาจหมดสติอย่างต่อเนื่อง หรือหมดสติอยู่ระยะหนึ่งแล้วฟื้นคืนสติ แต่จะมีอาการสับสน ง่วงนอน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อาเจียน

*โรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ (TIA) เกิดจากสมองขาดเลือดจากการอุดตันเพียงชั่วขณะ อาจเกิดจากหลอดเลือดแดงในสมองหรือหลอดเลือดแดงที่คอตีบตัน หรือมีสิ่งหลุดจากหลอดเลือดแดงที่อยู่นอกกะโหลกศีรษะลอยไปอุดตันในหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยจะมีอาการแสดง สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และการป้องกันแบบเดียวกับโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (สโตรก) ต่างกันตรงที่โรคสมองขาดเลือดชั่วขณะจะมีอาการอยู่นานไม่เกิน 24 ชั่วโมง (ส่วนใหญ่จะเป็นเพียง 2-30 นาที) แล้วหายได้เอง โดยร่างกายเกิดกลไกธรรมชาติที่สามารถทำให้การอุดตันนั้นหายไปได้อย่างรวดเร็ว เปิดทางให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองได้เป็นปกติ
เนื่องจากพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะหากไม่ได้รับการรักษา ประมาณร้อยละ 10-20 จะกลายเป็นสโตรกตามมาภายใน 3 เดือน (ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเป็นสโตรกภายใน 2 วันหลังเป็นโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ) และผู้ที่เป็นสโตรก ประมาณร้อยละ 15-30 จะมีประวัติว่าเคยมีอาการของโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะมาก่อน โรคสมองขาดเลือดชั่วขณะจึงถือเป็นสัญญาณเตือนภัยของการเกิดโรคสโตรก ดังนั้น หากมีอาการสมองขาดเลือด (เช่น แขนขาซีกหนึ่งอ่อนแรง พูดอ้อแอ้ ปากเบี้ยว) ไม่ว่าสงสัยจะเป็นโรคสโตรกหรือโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ ก็ควรรีบไปโรงพยาบาลด่วน ทั้ง 2 โรคนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว ซึ่งจะป้องกันไม่ให้กลายเป็นอัมพาตครึ่งซีกอย่างถาวร


ภาวะแทรกซ้อน

    มีอาการแขนขาอ่อนแรง เคลื่อนไหว หรือเดินลำบาก อาจทำให้หกล้ม กระดูกหัก หรือศีรษะได้รับบาดเจ็บได้
    ปากเบี้ยว พูดลำบาก กลืนอาหารลำบาก หรือสำลักอาหาร (เกิดภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจหรือปอดอักเสบ)
    ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง มีความรู้สึกเป็นภาระให้คนอื่น สูญเสียความมั่นใจในตนเอง เก็บตัว ไม่เข้าสังคม
    บางรายอาจมีความจำเสื่อม คิดช้า ไม่เข้าใจเหตุผล หรือตัดสินใจไม่ได้
    ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หงุดหงิดง่าย หรือเป็นโรคซึมเศร้า
    ในรายที่เป็นอัมพาตเรื้อรังและนอนติดเตียง อาจเกิดแผลกดทับ (bed sores) ที่ก้น หลัง และข้อต่าง ๆ อาจเป็นปอดอักเสบ หรือโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบแทรกซ้อนได้บ่อย ๆ ซึ่งอาจเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษที่ร้ายแรงตามมาได้

นอกจากนี้การนอนติดเตียงนาน ๆ อาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด ซึ่งทำให้เกิดภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอด เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

    ในรายที่เป็นรุนแรงหรือมีโรคที่พบร่วม (เช่น โรคหัวใจ ชีพจรเต้นผิดจังหวะ) อาจเสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อนทางสมอง หรือโรคหัวใจ

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย


การตรวจร่างกาย นอกจากอาการอัมพาตของแขนขาซีกหนึ่งแล้ว อาจมีอาการปากเบี้ยว พูดไม่ได้ ซึม ความดันโลหิตสูง รีเฟล็กซ์ของข้อ (tendon reflex) ไวกว่าปกติ อาจมีอาการหายใจช้าหรือหายใจไม่สม่ำเสมอ

ในรายที่เกิดจากภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง การตรวจร่างกายอาจพบความผิดปกติของหัวใจ เช่น ฟังได้เสียงฟู่ (murmur) หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือเต้นแผ่วระรัวร่วมด้วย

ในรายที่เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก อาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว หมดสติ คอแข็ง และความดันโลหิตสูงรุนแรงร่วมด้วย อาจตรวจพบรูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน ถ้าเป็นรุนแรงอาจพบรูม่านตาหดเล็กทั้ง 2 ข้าง

ในรายที่เป็นโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ หากมาพบในระยะที่อาการหายแล้ว มักตรวจไม่พบอาการผิดปกติทางสมอง นอกจากภาวะหรือโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่นความดันโลหิตสูง ชีพจรเต้นผิดปกติ โรคหัวใจ)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การถ่ายภาพสมองด้วยการฉีดสีเข้าหลอดเลือดสมอง (cerebral angiogram) การตรวจหลอดเลือดแดงที่คอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (carotid doppler ultrasound) การถ่ายภาพหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiogram) การเจาะหลัง การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุ ดังนี้

1. ในรายที่เป็นโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ (TIA) ซึ่งมีอาการเพียงชั่วขณะแล้วหายเป็นปกติได้เอง แพทย์จะให้ยาควบคุมโรคหรือภาวะที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ เป็นต้น และให้ยาต้านเกล็ดเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดขึ้นใหม่ ยาที่ใช้ได้แก่ แอสไพริน ขนาด 81-325 มก. วันละครั้ง ทุกวัน ในรายที่กินแอสไพรินไม่ได้ จะให้โคลพิโดเกรล (clopidogrel) แทน

ในรายที่ตรวจพบว่า หลอดเลือดแดงที่คอ (carotid artery) มีการตีบมากกว่าร้อยละ 70 อาจต้องทำการผ่าตัดหลอดเลือด (endarterectomy) เพื่อขจัดแผ่นคราบไขมันและลิ่มเลือดออกไป บางรายอาจใช้บัลลูนขยายหลอดเลือดและใส่หลอดลวดตาข่าย (stent)

ผลการรักษา สำหรับโรคสมองขาดเลือดชั่วขณะ การได้รับการรักษาโดยเร็วและต่อเนื่อง นอกจากป้องกันไม่ให้อาการของโรคนี้กลับมากำเริบใหม่แล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสโตรกตามมาได้ถึงร้อยละ 80 อีกด้วย

2. ในรายที่เป็นสโตรกที่เกิดจากสมองขาดเลือดจากการอุดตัน (หลอดเลือดสมองตีบและสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดสมอง) นอกจากให้การรักษาตามอาการ (เช่น ให้น้ำเกลือ ช่วยการหายใจ ควบคุมชีพจรถ้าเต้นแผ่วระรัว ยาลดไข้ถ้าไข้สูง ให้ยาลดความดันโลหิตถ้าสูงมาก) แล้ว เมื่อถ่ายภาพสมองยืนยันว่าเกิดจากภาวะนี้ (ไม่ใช่เลือดออกในสมอง) แพทย์ก็จะพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytic agent) ได้แก่ recombinant tissue-type plasminogen activator (rt-PA) เข้าทางหลอดเลือดดำเพื่อเปิดทางให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมอง ทำให้เซลล์สมองไม่ตาย ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนสู่ปกติได้เร็ว ยานี้จะได้ผลดีต้องให้ภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง (270 นาที) นับแต่เริ่มเกิดอาการ และผู้ป่วยจะต้องไม่มีภาวะที่เป็นข้อห้ามในการใช้ยานี้ (เช่น หมดสติ ชักเมื่อแรกมีอาการ ความดันโลหิต > 185/110 มม.ปรอท เกล็ดเลือดต่ำ ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด ภาวะการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง มีภาวะเลือดออก เป็นต้น)

ในบางกรณี แพทย์อาจให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม (anti-coagulant) ได้แก่ เฮพาริน (heparin) ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว โรคลิ้นหัวใจพิการ หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดซ้ำ ถ้าให้ตามหลังยาละลายลิ่มเลือด (tPA) ควรทิ้งช่วงให้ห่างอย่างน้อย 24 ชั่วโมงขึ้นไป

หลังจากอาการคงที่แล้ว แพทย์จะให้ยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน, โคลพิโดเกรล) ให้ยาควบคุมโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุ และทำการฟื้นฟูสภาพ โดยการทำกายภาพบำบัดและการใช้อุปกรณ์ช่วย

ในรายที่ตรวจพบมีหลอดเลือดแดงที่คอตีบ อาจให้การรักษาด้วยการผ่าตัดหลอดเลือด หรือใช้บัลลูนขยายหลอดเลือด

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้าเป็นเล็กน้อยและได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกก็อาจหายเป็นปกติ หรือฟื้นสภาพได้จนเกือบปกติ จนช่วยตัวเองได้ พูดได้ เดินได้ แต่อาจใช้มือไม่ถนัด ในรายที่เป็นรุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ก็มักจะมีความพิการหรือบกพร่องทางร่างกาย ซึ่งต้องการการดูแลจากผู้อื่น นั่งรถเข็น หรือใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน

ส่วนน้อยที่จะพิการรุนแรงจนต้องนอนอยู่บนเตียง และต้องการผู้ดูแลตลอดเวลา หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล

โดยทั่วไปการฟื้นตัวของร่างกายมักจะต้องใช้เวลา ถ้าจะดีขึ้นก็จะเริ่มมีอาการดีขึ้นให้เห็นภายใน 2-3 สัปดาห์ และจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถช่วยตัวเองได้หรือหายจนเกือบเป็นปกติ

3. ในรายที่เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้น้ำเกลือ ใส่ท่อหายใจและเครื่องช่วยหายใจ ควบคุมความดันโลหิตถ้าสูงรุนแรง เป็นต้น ในรายที่มีก้อนเลือดในสมองอาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดสมองแบบเร่งด่วน ส่วนในรายที่มีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและไม่กดถูกสมองส่วนสำคัญ ก็อาจไม่ต้องผ่าตัด เมื่อปลอดภัยแล้วจึงค่อยทำการฟื้นฟูสภาพต่อไป

ผลการรักษา ขึ้นกับตำแหน่งและปริมาณของเลือดที่ออก สภาพของผู้ป่วย (อายุ โรคประจำตัว) และการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ

ถ้าเลือดออกในก้านสมองจะมีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 90-95 เมื่อพบภาวะนี้มักจะไม่สามารถให้การบำบัดรักษา

ถ้าก้อนเลือดมีขนาดใหญ่ และแตกเข้าโพรงสมอง จะมีอัตราตายถึงร้อยละ 50

ถ้าเลือดออกที่บริเวณผิวสมอง หรือก้อนเลือดขนาดเล็ก และไม่แตกเข้าโพรงสมองจะมีอัตราตายต่ำ

ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หากรอดชีวิต ก็มักจะมีความพิการอย่างถาวร บางรายอาจกลายสภาพเป็นผักหรือคนนิทรา (vegetative state) อยู่นานหลายปี ในที่สุดมักเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ โรคติดเชื้อต่าง ๆ

ส่วนผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ซึ่งมักเกิดจากการแตกของหลอดเลือดที่ผิดปกติที่เป็นมาแต่กำเนิด ถ้าแตกตรงตำแหน่งที่ไม่สำคัญ และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก มักจะสามารถฟื้นหายได้เป็นปกติ

ผู้ป่วยหลังผ่าตัดบางราย แม้ว่าร่างกายจะฟื้นตัวได้ดี แต่อาจมีโรคลมชักแทรกซ้อนตามมา ซึ่งจำเป็นต้องกินยากันชักควบคุมอาการตลอดไป


การดูแลตนเอง

หากอยู่ ๆ มีอาการแขนขาซีกหนึ่งชาหรืออ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ หรือมีอาการปวดศีรษะรุนแรงหรือปวดศีรษะซีกเดียวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แล้วก็มีอาการปากเบี้ยว พูดไม่ได้ แขนขาค่อย ๆ อ่อนแรง อาจชักและหมดสติในเวลารวดเร็ว ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (สโตรก) หรือโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดชั่วขณะ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

เมื่อได้รับการรักษาจนสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ดูแลรักษา กินยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินอาหารสุขภาพ (ลดอาหารหวาน มัน เค็ม) ลดน้ำหนัก (ถ้าน้ำหนักเกิน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หาทางผ่อนคลายความเครียด (เช่น สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ) เคลื่อนไหวร่างกายหรือออกกำลังกาย (เท่าที่ร่างกายจะอำนวย)
    ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    หลีกเลี่ยงการซื้อยา สมุนไพร อาหารเสริมมาใช้เอง หากจะใช้ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลดีและความปลอดภัย เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้ตับอักเสบหรือไตเสื่อมได้ หรืออาจมีปฏิกิริยากับยาที่รักษา (เสริมหรือต้านฤทธิ์ยา) เกิดผลเสียต่อการควบคุมโรคหรือเกิดผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตราย (เช่น เลือดออก น้ำตาลในเลือดต่ำ) ได้
    ฝึกทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์/นักกายภาพบำบัด เช่น พยายามบริหารข้อโดยการเหยียดและงอแขนขาตรงทุก ๆ ข้อต่อบ่อย ๆ เพื่อป้องกันมิให้ข้อเกร็งแข็ง, หมั่นบริหารกล้ามเนื้อ และพยายามใช้แขนขาเพื่อให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น (ถ้าผู้ป่วยนอนเฉย ๆ ไม่พยายามใช้แขนขา กล้ามเนื้อก็จะลีบและข้อแข็ง) ฝึกเดิน ฝึกพูด ฝึกเขียนหนังสือ
    ในกรณีที่นอนติดเตียง ควรใช้ที่นอนที่ลดแรงกดทับ (เช่น ที่นอนน้ำ ที่นอนลม) และผู้ดูแลควรทำการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันแผลกดทับ (bed sores) ที่ก้น หลัง ข้อต่าง ๆ
    ให้อาหารและน้ำให้เพียงพอ บางรายอาจต้องป้อนทางสายยาง (ที่ใส่ผ่านจมูกหรือหน้าท้องเข้าไปที่กระเพาะอาหาร) ถ้าขาดน้ำ ผู้ป่วยจะซึม หรืออาการเลวลง ระมัดระวังในการป้อนอาหารแก่ผู้ป่วย อย่าให้สำลัก
    ถ้ามีสายสวนปัสสาวะ หรือสายป้อนอาหาร ควรดูแลให้สะอาดปลอดภัย และคอยเปลี่ยนสายใหม่ตามคำแนะนำของแพทย์/พยาบาล

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หนาวสั่น ท้องเดิน อาเจียน ปัสสาวะขุ่นหรือมีเลือดปน
    ปวดศีรษะรุนแรง สับสน ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว ชัก หรือหายใจหอบหรือลำบาก
    กินอาหาร หรือดื่มน้ำได้น้อย
    มีแผลกดทับเกิดขึ้น
    ยาหาย ขาดยา หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

    งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด ลดเกลือและน้ำตาล ลดอาหารที่มีไขมันมาก ลดน้ำหนัก (ถ้าอ้วน) และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันมิให้มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งเร็ว
    ตรวจเช็กความดันโลหิต เบาหวาน ภาวะไขมันในเลือด ถ้ามีภาวะผิดปกติควรรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เมื่อควบคุมโรคเหล่านี้ได้ ก็จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
    ถ้ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรทำการรักษา รวมทั้งควบคุมปัจจัยเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนของภาวะนี้ (เช่น ภาวะอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน) เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
    ถ้าเคยมีอาการแขนขาอ่อนแรงชั่วคราวจากสมองขาดเลือดชั่วขณะ (TIA) ควรรีบปรึกษาแพทย์ ดูแลรักษาและกินยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคสโตรกจากลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมอง
    ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจรูมาติก ผู้ป่วยผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นต้น ควรดูแลรักษา และกินยาแอสไพรินหรือยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือดตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันมิให้เกิดลิ่มเลือดที่หัวใจแล้วหลุดลอยไปอุดตันในหลอดเลือดสมอง

14
คอนโดติดรถไฟฟ้า แอสปาย รัตนาธิเบศร์ เวสต์ตัน (Aspire Rattanathibet - Weston)
เริ่มต้น 1.75 ลบ. - 3.41 ลบ. 

แอสปาย รัตนาธิเบศร์ เวสต์ตัน (Aspire Rattanathibet - Weston)
คอนโดใหม่ใกล้รถไฟฟ้า พบคอนเซปต์ใหม่ NEW TOWNSHIP OF THE WEST "Free Space ให้คุณใช้ชีวิตอย่าง Free Style" เข้าเมืองง่ายๆ เพียง 200 เมตร ถึงรถไฟฟ้า MRT สถานีบางกระสอ (ประมาณ 3 นาที) พร้อมบรรยากาศร่มรื่น ให้คุณได้พักผ่อน ได้มากกว่าทุกวัน Facility แนวคิดใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อนเปลี่ยนพื้นที่ส่วนกลาง กว่า 2 ไร่ ให้เป็นพื้นที่ส่วนตัว เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ใช้งานจริงและธรรมชาติให้ลงตัวกว่าเดิม

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                 แอสปาย รัตนาธิเบศร์ เวสต์ตัน (Aspire Rattanathibet - Weston)
 เจ้าของโครงการ            เอพี (ไทยแลนด์)
 แบรนด์ย่อย                 แอสปาย
 ราคา                        เริ่มต้น 1.75 ลบ. - 3.41 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.       เริ่มต้น 65,000 บ./ตร.ม.
 ลักษณะทำเล              คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะกรรมสิทธิ์        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี          1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี             ตั้งแต่ 30.50 ถึง 45.00 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด             3 ไร่ 2 งาน 68 ตร.ว.
 จำนวนตึก               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้อง               854 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด       312 ไม่รวมจอดซ้อนคัน
 ค่าบำรุงส่วนกลาง     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน              นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง             ถ.รัตนาธิเบศร์ ต.บางกระสอ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:               ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, สถานี(บางซื่อ - บางใหญ่)(ไม่ระบุ)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
เซ็นทรัล เวสต์เกต
อิเกีย บางใหญ่
เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์
เอสพลานาด แคราย
บิ๊กซี
กระทรวงสาธาณสุข
การไฟฟ้านครหลวง
ศูนย์ราชการนนทบุรี
สำนักงาน กสทช.
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
มหาวิทยาลัยศรีปทุม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ
โรงพยาบาลเปาโลเกษตร
โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
สถาบันโรคทรวงอก
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น

15
คอนโดติดรถไฟฟ้า เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน (Senakith Srinakarin - Sridan)
เริ่มต้น 1.3 ลบ. 

เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน (Senakith Srinakarin - Sridan)
เตรียมพบกับ เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน ออกแบบด้วยความใส่ใจ เก็บทุกรายละเอียดแม้ว่า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในแบบฉบับ Made From Her ใกล้สถานี INTERCHANGE รถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีเขียว ใกล้ทางด่วนกาญจนาภิเษก เชื่อมต่อการเดินทางที่สะดวก ตอบโจทย์ได้ทั้งคนรุ่นใหม่ คนที่มีรายได้จำกัด ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                  เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน (Senakith Srinakarin - Sridan)
 เจ้าของโครงการ             เสนาดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย                  เสนา คิทท์
 ราคา                         เริ่มต้น 1.3 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล                คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด             Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี             1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี               ตั้งแต่ 22.50 ถึง 44.50 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด               4 ไร่ 2 งาน 82 ตร.ว.
 จำนวนตึก                   3 อาคาร
 จำนวนชั้น                   8 ชั้น
 จำนวนห้อง                  618 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค             สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, ประตู Key Card, สวนหย่อม, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน            สมุทรปราการ, บางพลี, บางบ่อ, พระประแดง
 ที่ตั้ง           สุขุมวิท 113 ตำบล สำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ สมุทรปราการ 10270

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:           ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(แบริ่ง - บางปู)(สำโรง), ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเหลือง, สถานี(ลาดพร้าว - สำโรง)(ศรีด่าน)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Jas Urban ศรีนครินทร์
Foodland ศรีนครินทร์
Lotus ศรีนครินทร์
Home Pro ศรีนครินทร์
Big C ศรีนครินทร์
Makro ศรีนครินทร์
Imperial world
Central Bangna
Mega Bangna
โรงเรียนเซนต์โยเซฟ บางนา
โรงเรียนนานาชาติไทย – สิงคโปร์
โรงเรียนวัดด่านสำโรง
โรงเรียนอัสสัมชัญ สมุทรปราการ
โรงเรียนเซนต์โยเซฟ ทิพวัล
โรงเรียนบางกอกพัฒนา
โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ
โรงเรียนลาซาล
โรงพยาบาลสินแพทย์ เทพารักษ์
โรงพยาบาลศิครินทร์
โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ
โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์
โรงพยาบาลไทยนครินทร์
โรงพยาบาลสมุทรปราการ

หน้า: [1] 2 3 ... 88





























































กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ทำ SEO ติด Google
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี

หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ

ไม่รู้จะขายอะไรดี
อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย

โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า