โรคความดันโลหิตสูง นำมาสู่โรคหัวใจและโรคสมองในอนาคตถูกต้องครับ! โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) ไม่ใช่แค่เรื่องของความดันตัวเลขที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักและเป็นต้นเหตุสำคัญที่นำไปสู่โรคแทรกซ้อนร้ายแรงต่ออวัยวะสำคัญต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และ โรคหลอดเลือดสมอง ในอนาคต หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม ความดันโลหิตสูงจึงถูกขนานนามว่าเป็น "ฆาตกรเงียบ" เพราะมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ค่อยๆ ทำลายอวัยวะภายในไปเรื่อยๆ
กลไกที่ความดันโลหิตสูงทำลายหัวใจและสมอง
เมื่อความดันโลหิตสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน หัวใจและหลอดเลือดทั่วร่างกายจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อต่อสู้กับแรงดันที่สูงนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเสียหายในที่สุด:
ทำลายผนังหลอดเลือด:
แรงดันเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่องจะทำให้ผนังหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย โดยเฉพาะหลอดเลือดแดงขนาดเล็กและขนาดกลาง เกิดการบาดเจ็บ เสื่อมสภาพ และแข็งตัวขึ้น (Arteriosclerosis)
เมื่อผนังหลอดเลือดเสียหาย จะง่ายต่อการสะสมของไขมัน คอเลสเตอรอล และคราบพลัค (Plaque) ทำให้เกิดภาวะ หลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) หลอดเลือดจะตีบแคบลง และเลือดไหลเวียนได้ไม่ดี
เพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ:
หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นมากเพื่อบีบเลือดผ่านหลอดเลือดที่แข็งและตีบตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจห้องซ้ายล่างหนาตัวขึ้นและโตขึ้น (Left Ventricular Hypertrophy)
เมื่อเวลาผ่านไป หัวใจที่ทำงานหนักเกินไปจะอ่อนล้า และประสิทธิภาพในการบีบตัวลดลง นำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้
ความดันโลหิตสูง นำมาสู่ "โรคหัวใจ" ได้อย่างไร?
ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ของโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายชนิด:
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ/กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Coronary Artery Disease):
ความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดหัวใจซึ่งทำหน้าที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัวและตีบแคบลง
เมื่อหลอดเลือดตีบมากพอ เลือดจะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก (Angina)
หากหลอดเลือดอุดตันอย่างเฉียบพลัน จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย เกิดภาวะ หัวใจวายเฉียบพลัน (Heart Attack)
หัวใจวาย/ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure):
หัวใจที่ทำงานหนักเกินไปและกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวขึ้น จะสูญเสียความสามารถในการบีบเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจหอบเหนื่อย บวมตามตัว และอ่อนเพลีย
หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmias):
ความดันโลหิตสูงเรื้อรังสามารถเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ โดยเฉพาะภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดไปอุดตันสมอง
โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (Aortic Aneurysm):
แรงดันเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่องสามารถทำให้ผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ (หลอดเลือดแดงหลักของร่างกาย) อ่อนแอและโป่งพองออก ซึ่งอาจแตกออกได้ และเป็นอันตรายถึงชีวิต
ความดันโลหิตสูง นำมาสู่ "โรคสมอง" ได้อย่างไร?
ผลกระทบต่อหลอดเลือดในสมองเป็นอีกหนึ่งความเสียหายร้ายแรงที่เกิดจากความดันโลหิตสูง:
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke):
นี่คือภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างเฉียบพลัน แบ่งออกเป็น:
ภาวะสมองขาดเลือดจากหลอดเลือดตีบ/อุดตัน (Ischemic Stroke): ความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดในสมองแข็งตัวและตีบแคบลง เกิดลิ่มเลือดไปอุดตัน หรือลิ่มเลือดจากหัวใจลอยไปอุดตัน (โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะร่วมด้วย)
ภาวะสมองขาดเลือดจากหลอดเลือดแตก/เลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke): ความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดในสมองเปราะบางและแตกง่าย เกิดภาวะเลือดออกในสมอง ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตและทิ้งความพิการไว้สูง
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอาจมีอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต พูดไม่ได้ ปากเบี้ยว หน้าเบี้ยว หรือเสียชีวิตได้
ภาวะสมองเสื่อมจากหลอดเลือด (Vascular Dementia):
การที่หลอดเลือดในสมองเสียหายเล็กๆ น้อยๆ สะสมเป็นเวลานาน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอเรื้อรัง ส่งผลให้เซลล์สมองตายและทำงานได้ไม่เต็มที่
ผู้ป่วยจะมีปัญหาด้านความจำ การคิด การตัดสินใจ และการใช้ชีวิตประจำวัน
ลดความเสี่ยงได้ด้วยการควบคุมความดันโลหิต
ข่าวดีคือ ภัยร้ายเหล่านี้สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ หากคุณ:
ตรวจวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ: เพื่อให้รู้ว่าตนเองมีความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ใด และได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: ลดเค็ม ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก งดบุหรี่ และจำกัดแอลกอฮอล์
รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: หากแพทย์พิจารณาให้ยา
ควบคุมโรคประจำตัวอื่นๆ: เช่น เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง
การตระหนักถึงความอันตรายของความดันโลหิตสูง และการดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปกป้องหัวใจและสมองของคุณให้แข็งแรงในระยะยาวครับ